พี่ชายของเขาเป็นมาเฟีย
ไม่สิ...
แค่ชื่อคลับคล้ายว่าน่าจะเป็นเท่านั้น ตัวจริงเสียงจริงเป็นอย่างไร น้อยคนที่รู้
งั้นเอาใหม่...
พี่ชายของเขาชื่อ “ตี๋ใหญ่”
เพียงเอื้อนเอ่ย
ก็ปรากฏภาพหนุ่มใหญ่คาดแว่นกันแดดสีดำ
ใบหน้าอาจมีแผลเป็นจากการเย็บลากยาวจากคิ้วถึงกระพุ้งแก้ม น่าเกรงขาม
แต่ใครจะนึกว่าคำที่ความหมายตรงกันข้ามจะสร้างผลกระทบทางความรู้สึกรุนแรง
มีใหญ่ต้องมีเล็ก ดังนั้นชื่อของเขาจึงไม่โหดดุ แต่กลับคิกขุ น่ารัก
ใครได้ยินเป็นต้องอมยิ้ม
ตี๋เล็กเป็นชายหนุ่มธรรมดา
ทั่วไปๆ ไม่ต่างจากเพื่อนในกลุ่มของเขา แต่เพื่อนๆ ตัวดีทั้งหลายต่างยกยอว่าเขามีบางเรื่องที่เหนือกว่าคนอื่น
น่าเศร้าที่ไม่ใช่เรื่องน้ำใจ น้ำอดน้ำทน หรือน้ำหน้า แต่เป็น “น้ำหนัก”
แม้เรือนร่างจะไม่ได้ใกล้เคียงกับนักกีฬา
ไม่เฉียดแม้แต่น้อย แต่เขาก็รักการเล่นกีฬา โดยเฉพาะฟุตบอล เรื่องฝีเท้าน่าสนใจ ทุกครั้งที่มีเขาอยู่ในสนาม
เกมวันนั้นจะมีสีสันมากเป็นพิเศษ พิเศษขนาดที่ว่าเป็นสีสันบันเทิงได้ทีเดียว เขาเป็นตัวอันตรายที่สุดเมื่ออยู่บริเวณกรอบเขตโทษ
(ของตัวเอง) แมตช์ล่าสุดสถิติของเขาคือยิง 1 จ่ายให้ยิง 2 นับว่าไม่เลว หาก 3
ประตูนั้นไม่ใช่ฝั่งตัวเอง
สัจธรรมข้อหนึ่งของโลกมนุษย์ระบุไว้ว่า
คนอ้วนคือตัวตลก เพราะไม่ว่าคนเหล่านี้จะทำอะไรก็ดูน่าขบขันไปเสียทุกเรื่อง
คนอ้วนบางคนอยากใส่กางเกงขาลีบ
แต่ทรวดทรงของเรียวขาไม่ได้ลีบตามกางเกง – ตลก
คนอ้วนบางคนอยากแต่งตัวหล่อ
เซ็ตผม แต่ใบหน้าอวบอัดไม่ได้เข้ากับผมชี้ฟ้า
หากเข้ากับการไปจ่ายตลาดซื้อพริกชี้ฟ้ามากกว่า – ตลก
คนอ้วนเตะบอลกับเพื่อน
ทีมขาดตำแหน่งผู้รักษาประตู เขาถูกไล่ให้ไปยืนเฝ้าเสา – ตลอด
ฯลฯ
แม้แค่มีคุณสมบัติความอ้วนอยู่
ก็ตลกได้แล้ว แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทุกคนต่างลงความเห็นว่ามันตลกจริงๆ
ตลกอย่างร้ายกาจ ตลกซึ่งไม่เกี่ยวกับความอ้วน เรื่องนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อโทรศัพท์มือถือของตี๋เล็กดังขึ้นในห้องที่เต็มไปด้วยเพื่อน
“
~กะ กะ กะ กลัวที่ไหน
เกรงใจหรอกหนา...”
ไม่ใช่...
เพื่อนๆ ของเขาไม่ได้เหมารวมอย่างอคติว่าบี้คือตัวแทนของความตลก (แม้ว่าบางเพลงจะฟังแล้วจั๊กจี้ก็ตาม)
แต่ความบันเทิงมันอยู่ที่ว่ามีสิ่งมีชีวิตกลมๆ ร่างหนึ่งลุกขึ้นเต้นตามเพลง
ไม่ใช่เต้นแร้งเต้นกาหรือเต้นไก่ แต่เป็นการเต้นโคฟเวอร์ที่แนบเนียน มีจังหวะจะโคน
แม้ว่าดูเหมือนจะโค่นก็ตาม ร่างท้วมทุ้ยเคลื่อนไหวตามเสียงเพลง
กล้ามเนื้อนุ่มนิ่มตามท่อนแขนท่อนขา
รวมถึงกล้ามเนื้อหน้าท้องที่น่าเกรงขามเต้นเร่า กระเพื่อมไปตามริทึ่ม สะกดผู้ชมในห้องให้จ้องตาไม่กระพริบ
จนใครคนหนึ่งหลุดจากภวังค์ จึงเรียกนักเต้นให้รับโทรศัพท์ การแสดงจึงสิ้นสุด
นับแต่นั้นมาจึงเป็นเรื่องเล่าขานและรู้กันดีในวงเพื่อนฝูงว่านอกจากศิลปินเจ้าของเพลงจะเป็นขวัญใจของเขาแล้ว
ทุกครั้งที่เพลงของบี้ดังขึ้น เขาไม่อาจจะสะกดแขนขาให้อยู่นิ่งได้
ไม่ว่าเพลงช้าเพลงเร็ว เขาเต้นได้ทุกกระบวนท่า ระบำแขนและข้อมือเป็นวงรูปหัวใจได้อย่างพลิ้วสะบัด
ใครคนหนึ่งถามเขาว่าไม่อายเวลาต้องเต้นกลางที่สาธารณะหรือ
จึงตั้งริงโทนเป็นเพลงนี้ แต่เขายังคงตอบติดตลก ฟังแล้วอยากเตลิดเตลิง
“กะ
กะ กะ กลัวที่ไหน...”
ดูเหมือนวิญญาณของศิลปินคนนี้จะเข้าสิงไปลึกถึงระดับจิตใต้สำนึก ต่อให้เป็นซิกมันด์ ฟรอยด์ก็ช่วยไม่ได้
คงต้องจับห่อกระดาษฟอยล์แล้วเข้าเตาไมโครเวฟอย่างเดียว ทางนั้นเขา “บี้ สุกฤษฎิ์”
แต่ทางนี้มัน “ตี๋ สุกร” ชัดๆ
ไม่ว่าใครจะมองเป็นตัวตลกอย่างไร
ตี๋เล็กก็ไม่เคยโกรธเคือง แต่กลับสนุกสนานและแอบภูมิใจอยู่เล็กๆ ที่สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะในวงเพื่อนได้
ทุกคนจึงรักและเอ็นดูเขาด้วยการกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยให้พอขำขัน ขำโอ่ง
ขำฝักบัวกันไป
แต่แล้ววันที่ความตลกซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของเขาก็ไม่ทำให้เขาภูมิใจอีกต่อไป
แรงดึงดูดแห่งรักดึงเขาให้ตกลงสู่เหวลึกดั่งอากาศยานที่ดิ่งเข้าสู่ห้วงแรงโน้มถ่วงของโลก
และกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อกระทบพื้นดิน เขาไม่อยากเป็นตัวตลกอีก เขาอยากเท่
อยากดูดีขึ้นมาในสายตาของสาวน้อยผมยาวสีน้ำตาลอ่อนคนนั้น
ดวงตาเป็นประกายโดยไม่ต้องพึ่งบิ๊กอายของเธอทำให้ใจเขาละลาย
หากมันทำให้ไขมันละลายได้บ้างก็คงดี
เขาปรึกษาเพื่อนสนิทในกลุ่มที่ดูจะคล่องแคล่วเชี่ยวชาญในเรื่องความรักเป็นพิเศษ
“มึงต้องหาทางทำความรู้จักให้ได้ก่อน
สร้างความประทับใจแรกพบให้ดี ทำตัวให้เป็นมิตร แต่อย่าเล่นตลกใส่เขาล่ะ
มันไม่น่าเชื่อถือ”
นั่นคือคำที่เพื่อนแนะนำ
ตี๋เล็กเข้าใจดีและไม่คิดจะเล่นตลกกับความรัก เพียงแต่ตอนนี้ไม่มีวิธีใดๆ
ในหัวเลยที่จะเชื่อมโยงเขาและเธอเข้าด้วยกัน จะใช้วิธีเดินดุ่ยเข้าไปแล้วร้องเพลง “รักนะคะคนดีของฉัน”
พร้อมท่าเต้นกินใจ เขาก็คิดว่าไม่เหมาะเท่าไร อาจเป็นเพราะเขาอ้วน
และไม่ได้ดูดีเหมือนบี้ เดอะสตาร์
นับวันเขายิ่งว้าวุ่นใจ
ความรักที่เป็นสิ่งสวยงาม บางครั้งกลับโหดร้าย มันกัดกินจิตใจอันบอบบาง
กัดกร่อนความมั่นใจที่มีให้เป็นธุลีปลิวหายไปกับสายลม เขากระวนกระวายและไม่เป็นตัวของตัวเอง
นั่นไม่เท่าไร แต่เรื่องใหญ่คือการเข้าไปทำความรู้จัก
คนอ้วนอย่างเขาคงไม่อาจสร้างความประทับใจแรกพบกับใครได้ เขาตัดพ้อ
“เราตัวอ้วน วิ่งช้า ตามความรักไม่ทันหรอก”
เพื่อนผู้หวังดีไม่อาจทนเห็นตี๋เล็กในสภาพนี้ต่อไปได้
เขาเสนอวิธีสานสันพันธ์ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยใช้มันได้ผลชะงัดมาแล้ว
ไม่ว่าฝ่ายหญิงจะชอบหรือไม่ แต่อย่างไรก็จะได้เบอร์โทรศัพท์มาไว้ครอบครองแน่นอน
“มึงต้องแกล้งทำโทรศัพท์หาย
ขอยืมมือถือเธอโทรหาเพื่อน แต่กดเบอร์มึงเอง แค่นี้ก็ได้เบอร์แล้ว
หลังจากนั้นก็ค่อยโทรไป ใช้เหตุผลว่าโทรมาขอบคุณที่ให้ยืมโทรศัพท์ แล้วก็ชวนคุย
ทำความรู้จัก แค่นี้เองเพื่อน”
ตี๋เล็กผู้ไม่สันทัดกับประสบการณ์จีบผู้หญิงถึงกับอึ้งเมื่อได้ฟังแผนอันแยบยลของเพื่อน
แม้ใจจะกล้าๆ กลัวๆ อยู่ แต่เสียงของบี้ก็ดังก้องในจิตสำนึกราวกับจะปลุกใจเขาให้ฮึกเหิม
พร้อมเข้าสู่สมรภูมิการจีบสาว
“กะ กะ กะ กลัวที่ไหน...”
รุ่งขึ้น ตี๋เล็กไม่รอช้า
ลากสหายที่ปรึกษาไปดักรอนางในฝันทันที ร้านกาแฟแบบเอาท์ดอร์บรรยากาศอบอุ่นอยู่ห่างจากที่กบดานของพวกเราไม่ถึง
10 เมตร เขาเล่าให้เพื่อนฟังว่าเธอมานั่งที่ร้านที่เป็นประจำ
ครั้งแรกที่เห็นเธอ หัวใจมันก็ร้องเป็นเพลง ลุค ไลค์ เลิฟ
เพียงเวลาไม่นาน
เธอก็มาตามที่คาดไว้ หญิงสาวผมยาวดัดเป็นลอนหลวมในชุดเดรสลูกไม้สีขาว ผมสีน้ำตาลอ่อนส่องประกายสะท้อนกับแสงแดด
ลมเบาๆ โชยมาทำให้มันปลิวสยายช้าๆ ทั้งตี๋เล็กและเพื่อนประหนึ่งถูกสะกดในมนตรา
เพื่อนคลายมนต์สะกดได้ก่อน สะกิดตี๋เล็กเบาๆ
“เฮ้ย เป็นไร”
“จังหวะหัวใจเรา
มันเต้นผิดปกติ”
“เข้าเลยดิรอไรวะ”
“เฮ้ย Wait a minute รอหน่อย รอหน่อย”
“ตลกนะมึง เร็วๆ เหอะ”
“แต่ถ้าได้เบอร์มา เราก็ไม่รู้จะโทรไปคุยอะไร”
“มึงก็ โทรมาว่ารัก
ไง”
ทั้งสองหัวเราะก๊ากขึ้นมา
แต่สำนึกได้ว่ากำลังสะกดรอยอยู่ รีบเอามือป้องปากแล้วจ้องหน้ากัน
ยังคงหัวเราะคิกคัก ทำให้ตี๋เล็กคลายความตื่นเต้นลงได้บ้าง เพื่อนใช้มือดันหลังให้รีบเดินหน้าบุก
เขากัดฟันแล้วทำสิ่งที่กล้าหาญที่สุดในชีวิต เดินตรงดิ่งไปยังโต๊ะของเธอ
สาวน้อยที่กำลังนั่งดูดน้ำผลไม้ปั่นเหลือบเห็นชายหนุ่มร่างท้วมเดินมุ่งมั่นเข้าใส่
เธอแปลกใจเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับหวาดกลัว แล้วทั้งสองก็สบตากัน เธอวางแก้วเครื่องดื่มลง
เลิกคิ้วขึ้นสูงเหมือนรู้ตัวว่าเขามีบางอย่างต้องการจะบอก
“ท.. โทรศัพท์เราหาย
ขอยืมมือถือโทรหาเพื่อนหน่อยได้ไหมครับ”
หญิงสาวลังเลเล็กน้อย
ก่อนยื่นไอโฟน 4S ให้ สีหน้าของตี๋เล็กเริ่มซีดขาว
เหงื่อเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าเล็กน้อย
“เอ่อ มัน...กดเบอร์ยังไงหรอครับ”
เธออมยิ้มและขำเล็กๆ ก่อนหยิบไอโฟนจากมือเขามาสไลด์ปลดล็อกแล้วเข้าเมนูสำหรับกดเบอร์
เธอยื่นมันให้เขาอีกครั้ง เพื่อนที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ ถึงกับขำขึ้นมาในความน่าสมเพช
คราวนี้ตี๋เล็กไม่พลาด ใช้นิ้วสัมผัสจอ กดหมายเลขโทรศัพท์ของตัวเองลงไปอย่างแม่นยำ
แล้วจ่อไอโฟนไปที่หูข้างขวา นับถอยหลังสู่เสียงตู๊ด – เสียงที่รับประกันว่าเบอร์ของเธอจะปรากฏที่เครื่องของเขา เสียงที่ประกาศเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเขากับเธอ
เหงื่อกาฬเริ่มผุดมากขึ้น แม้ว่าแดดวันนี้จะไม่ร้อนมากก็ตาม
เสียงตู๊ดดังขึ้นจนได้
แต่มันไม่ได้เป็นเสียงเดียวที่มีอิทธิพลต่อเขามากที่สุดในขณะนี้
เพราะหากมันคือเสียงสวรรค์ เสียงนรกก็แผดดังขึ้นมาควบคู่กัน
...
“ ~กะ กะ กะ กลัวที่ไหน เกรงใจหรอกหนา ไหนใครว่าไม่กล้าเข้าไป จะให้ลุยตอนนี้
เลยก็ยังไหว...”
สัญชาติญาณนักเต้นไม่เคยจาง
มันทำงานตามหน้าที่ไม่ว่าที่ไหน
สายลมอ่อนๆ
ยังคงพัดโชย สายตาสองคู่จ้องมองกันราวกับว่าถูกตรึงเส้นสายตาเอาไว้ นอกจากแขนขาของเขาที่ยังคงเคลื่อนไหวไปตามจังหวะเพลงอย่างควบคุมไม่ได้
ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งลง แม้แต่เวลา
ไม่มีใครกล้าทำนายฉากต่อไป
บางทีถ้าเปลี่ยนริงโทนเป็นเพลง
รักนะคะ เรื่องอาจจบสวยกว่านี้
คาเมะคุง