-->
ผู้อ่านคือลมหายใจของนักเขียน

วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

กลับมา

            “กลับมา”
            แม้ว่าคำนี้อาจจะยังพูดด้วยเสียงหนักแน่นไม่ได้นัก แต่สำหรับกรณีนี้คงไม่มีคนใจแคบไม่ให้พูด
            หลังจากฟอร์มการเล่นฝืดหนืดตั้งแต่ย้ายมาจากลิเวอร์พูล (ซึ่งก็พลอยเล่นอย่างหนืดฝืดไปด้วย) เหตุการณ์ที่เพิ่งจบไปเมื่อคืน (29 เม.ย.55) ก็ประจักษ์แจ้งแก่แฟนบอลว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป เมื่อเขาพังประตูไปถึงสามบาน เอ๊ย! สามประตู คว้าเอกสิทธิ์ครอบครองลูกบอลกลับบ้านไปตามระเบียบ (ตามประเพณีการแข่งขันฟุตบอล คนที่ยิงได้ 3 ประตูขึ้นไปจะได้ลูกฟุตบอลที่ใช้เล่นในเกมนั้นไปครอบครองเป็นทีระลึก)
            “เฟอร์นานโด ตอเรส” เพิ่งตกจากหน้าผาแห่งสุดยอดนักฟุตบอลลงสู่หุบมืดที่มองไม่เห็นพื้น หลังจากที่ครั้งหนึ่งกับลิเวอร์พูล เขาเป็นหัวใจสำคัญของทีม พึ่งพาได้เสมอ อาจดูสอพลอหากจะบอกว่าในช่วงเวลารุ่งโรจน์นั้น ลิเวอร์พูลที่ไม่มีตอเรสก็เหมือนกองทัพที่ขาดอาวุธ แต่เชื่อว่าหลายคนคิดไม่ต่างกัน
            ทั้งความเร็ว แข็งแกร่ง ดุดัน เฉียบคม ทั้งหมดอัดรวมอยู่ในตัวชายหนุ่มผู้นี้ เขาเก่ง เท่ และเข้าไปอยู่ในใจใครหลายคน
            แต่พระเจ้าไม่เคยลิขิตให้ชีวิตใครดีเลิศไปตลอดรอดฝั่ง เมื่อหมดยุคของพระเอก ตัวตลกก็เข้าแทนที่
            ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง ทั้งอาการบาดเจ็บ ความห่างเหินจากการแข่ง สภาพร่างกายที่ขาดการฟิตซ้อม ทำให้ฟอร์มการเล่นของเขาตกฮวบราวผลสอบของเด็ก ม.ต้นที่เพิ่งติดเกม
            เชื่อว่าช่วงตกต่ำ หรือช่วงเกือบทั้งหมดก่อนเกมนัดตัดเชือกกับบาร์เซโลน่า หลายคนให้กำลังใจเขาและหวังให้ได้ลงสนามเพื่อเรียกฟอร์มเก่งคืน ขณะที่อีกจำนวนไม่น้อยลุ้นให้กองหน้าปืนฝืดไม่ได้ลงเล่น รวมถึงหัวเราะเยาะ เย้ยหยันในทุกความผิดพลาด ทำให้เขากลายเป็นตัวตลกไปทันที
            ยิ่งถูกกดดัน ยิ่งเล่นผิดพลาด พอเล่นพลาด ก็ยิ่งถูกสบประมาท เสียงโห่เย้ยหยันระงม ทั้งค่าตัวแพงระยับ 50 ล้านและความคาดหวังจากผู้ชมทั่วโลกต่างกลายเป็นสิ่งที่ไม่หอมหวานอีกต่อไป
            ว่ากันว่าชีวิตคนอาจเปลี่ยนได้เพียงเพราะวันเดียว หรือช่วงเวลาสั้นๆ เพียงช่วงเดียว หลังจากนัดตัดเชือกกับบาร์เซโลน่าที่คัมป์นู (บ้านบาร์เซโลน่า) ผลอยู่ที่ 2 – 2 ซึ่งเป็นเชลซีที่เข้ารอบด้วยผลบุญจากนัดแรก (ชนะ 1 – 0) เสียงฮือฮาจากแฟนบอลทั่วโลกดังระงมขึ้นจากสองเหตุผล
            หนึ่ง - เต็งแชมป์และยอดทีมอย่างบาร์เซโลน่าตกรอบ
            สอง ตอเรสยิงตีเสมอให้เชลซีเป็น 2 - 2
            แม้จะเป็นประตูเดียวที่ไม่ได้ยิงต่อเนื่องจากนัดก่อนๆ เท่าไรนัก แต่เชื่อว่าความมั่นใจกลับมาเกินครึ่ง ทำให้คาดเดาไปได้ว่าต้นกำเนิดของ 3 ประตูเมื่อคืน มี 1 ประตูจากนัดที่แล้วเป็นแรงส่ง
            ชีวิตมีขึ้นมีลง คราวนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการ “กลับมา” แต่ทั้งหลายทั้งปวง เพียงความมั่นใจอย่างเดียวไม่สามารถเรียกฟอร์มเทพกลับมาได้แน่นอน
            การฝึกซ้อมและความมุ่งมั่นพยายามเป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อยกว่า
            หากตอเรสยังยึดมั่นเพียงประตูที่เขาทำได้กับบาร์เซโลน่า แน่นอนว่าเขาไม่มีทางกลับมาอย่างสมบูรณ์แบบ
            การทำแฮตทริคครั้งนี้ก็ไม่ได้การันตีว่าฟอร์มของเขาจะดีขึ้นอย่างเสถียร
            แต่เชื่อว่ามันจุดประกายให้เขาลุกขึ้นสู้อีกครั้ง ซึ่งหากรวมกับความพยายามในการฝึกซ้อม และมุ่งมั่นในการทำประตูมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าเขาต้องกลับมา
            ชีวิตของทุกคนเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่เพียงนักฟุตบอลเท่านั้นที่มีฟอร์มตก ฟอร์มหลุด หรือผิดฟอร์ม อาชีพอื่นๆ ก็สามารถเล่นผิดฟอร์ม และเข้าสู่จุดตกต่ำของชีวิตได้เช่นกัน
            แต่อย่างไรก็ตาม สัจธรรมบอกไว้แล้ว มีชึ้นต้องมีลง ถ้าถึงคราวลง ก็พยายามไต่ขึ้น ถ้าอยู่จุดสูงสุดแล้ว ก็รักษาระดับ และไม่ต้องกังวลถึงความล้มเหลว
            เพราะขนาดตอเรสที่ผิดฟอร์มยังคืนฟอร์มกลับมาทำแฮตทริคได้
            แกงส้ม คนที่พลาดตำแหน่งดาวในคืนนี้ไป ก็อาจย้อนมาทำแฮตทริคแซงหน้า โดม เดอะสตาร์ เหมือนที่เห็นๆ กันมาทุกปีแล้วก็ได้
            ใครจะรู้?




คาเมะคุง

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

This is football

ไม่แปลกที่การตกรอบของบาร์เซโลน่าเมื่อคืนนี้จะเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์

ถูกใจทั้งกองเชียร์เชลซีและกองแช่งจากแฟนบอลทีมอื่นทั่วราชอาณาจักร

ใครทุ่มสุดตัวอยู่บาร์ซ่าไป งานนี้คงหนักหน่อย

ส่วนตัวผมไม่ได้ชมการแข่งขันแบบสดๆ แต่ได้ยินได้ฟังเหตุการณ์ต่างๆ มา รวมถึงดูไฮไลท์ของเกมก็พอทำให้เห็นภาพคร่าวๆ

ทีมอย่างบาร์เซโลน่าในยุคที่ "เป็ป กวาดิโอล่า" เป็นกุนซือนั้นต้องยอมรับว่าแข็งแกร่งอย่างไร้เทียมทาน จนถูกขนานนามเทียบเท่ามนุษย์ต่างดาว ประหนึ่งว่าเก่งกว่าระดับโลก ไปเล่นบอลจักรวาลได้แล้ว

ส่วนหนึ่งอาจมาจากผู้เล่นตัวหลักในเกมรุกแต่ละคนที่มากด้วยความสามารถ โดยเฉพาะคนที่คุณก็รู้ว่าใคร

แต่แน่นอนว่าความสำเร็จของทีมไม่ได้มาจากคนคนเดียว ทุกครั้งที่ได้ชมเกมของบาร์ซ่า ก็ไม่เคยเห็นใครเลี้ยงเดี่ยว ครองบอลเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ทั้งเกมสักครั้ง แม้แต่เมสซี่เองก็ตาม

เรียกได้ว่าทุกคนมีส่วนร่วมหมด แม้แต่ผู้รักษาประตูบางครั้งก็ยังต้องทำหน้าที่รับ - ส่งบอลเพื่อขับเคลื่อนเกมกับกองหลัง ปรากฏออกมาเป็นการต่อบอลอย่างสวยงามให้แฟนบอลได้ตื่นตาตื่นใจเช่นทุกครั้ง

คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่าในระดับเดียวกัน หาทีมที่เล่นฟุตบอลอย่างสวยงาม ไหลลื่น และรักษามาตรฐานการเล่นของทีมได้เท่ากับบาร์เซโลน่าไม่ง่ายนัก

ในฐานะลูกผู้ชายที่ชื่นชอบฟุตบอล ก็เคยผ่านประสบการณ์แข่งฟุตบอลแบบขำๆ กิ๊กๆ ก๊อกๆ มาบ้าง น่าเสียดายที่ผลการแข่งไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไร ขณะที่รุ่นพี่คนหนึ่งของผมซึ่งเป็นนักฟุตบอลมหาวิทยาลัยพาทีมของเขาทะลุไปถึงรอบชิง

ด้วยสไตล์การเล่นบอลที่สวยงามไม่แพ้บาร์เซโลน่า

หลังจบเกมนัดหนึ่งที่ทีมของผมแพ้อย่างย่อยยับ ทั้งที่ประเมินตัวผู้เล่นกับฝ่ายตรงข้ามแล้วก็ไม่ได้ต่ำต้อยด้อยไปกว่ากันมากเท่าไรนัก "พี่ตอง" น้องชายแท้ๆ ของพระเอกเรื่อง 2499 อันธพาลครองเมือง หนึ่งในนักฟุตบอลมหาวิทยาลัยและรุ่นพี่ที่ผมเคารพมากที่สุด เดินมาพูดกับผมและเพื่อนร่วมทีม

"อยากรู้ไหมเล่นอย่างไรให้ชนะ"

ทุกคนตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ พี่ตองจึงว่าต่อไป

"หนึ่ง เวลาได้บอล อย่าครองบอลนาน เห็นเพื่อนให้รีบส่ง"

"สอง เวลาไม่ได้บอล เคลื่อนที่ให้เพื่อนส่งให้เราได้ง่ายที่สุด"

ฟังเพียงสองข้อนี้ ผมไม่ตื่นเต้นตกใจ เพราะเป็นหลักพื้นฐานที่คนเล่นบอลทั่วไปต้องรู้ การเลี้ยงเดี่ยวเข้าไปยิงแม้แต่เมสซี่ยังไม่ได้ทำบ่อยๆ

แต่เทคนิคของพี่ตองข้อสุดท้ายจุดประกายอะไรบางอย่าง

"สาม ทุกคนต้องคิดเหมือนกัน"

ฟันเฟืองทุกตัวในทีมต้องเคลื่อนที่ไปในจังหวะและทิศทางเดียวกัน ทีมจึงจะขับเคลื่อนไปอย่างไหลลื่น ไม่ติดขัด และนำไปสู่ประตู ซึ่งสิ่งสำคัญของข้อสามนี้คือวินัยที่ทุกคนต้องมีร่วมกัน

หากเพียงมีใครคนหนึ่งได้บอลแล้วไม่ส่งต่อตามระบบที่วางไว้ คิดจะเล่นคนเดียว ทีมก็เสียทั้งระบบ

และแ่น่นอนว่าหากการรับ - ส่งบอล นั้นยังทำกันได้ไม่แน่นอน ขาดๆ เกินๆ ก็ควรจะย้อนกลับไปยังบทที่หนึ่ง คือการฝึกทักษะพื้นฐานให้แน่น และเชื่อว่ากว่าลูกทีมของบาร์เซโลน่าจะส่งบอลกันได้แม่นยำขนาดนี้ พวกเขาอ่านบทที่หนึ่งกันมากว่า 100 รอบ

จากนั้นก็นำมาสู่การ "คิดเหมือนกันทุกคน"

นี่คือสิ่งที่ยากในการสร้างทีมเวิร์ก

บาร์เซโลน่าสามารถสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาได้ จึงทำให้พวกเขาอยู่เหนือสุดของทีมฟุตบอลทั่วโลก

แม้ผลการแข่งขันของเมื่อคืนจะพิสูจน์สายตาชาวโลก รวมถึงชาวต่างดาวแล้วว่า ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ไม่มีใครเป็นอมตะ ซึ่งก็เป็นสัจธรรมที่หลายคนรู้ดี

แต่ผลการแข่งขันดังกล่าวไม่ได้พิสูจน์ว่าบาร์เซโลน่าเก่งน้อยลง หรือระบบทีมที่ว่านั้นไม่ได้ผลแล้ว

หากต้องชื่นชมเชลซีที่เคารพในวินัยไม่แพ้บาร์เซโลน่า เกมรับและการสวนกลับเร็วของเมื่อคืน พวกเขาทำได้อย่างยอดเยี่ยม แม้เปอร์เซ็นต์การครองบอลจะเทียบกันไม่ติด แต่พวกเขามุ่งไปที่จุดหมายเดียวคือการป้องกันและการเข้าสู่รอบต่อไป

นอกจากวินัยแล้วก็ต้องยอมรับในพลังใจของนักเตะเชลซี ที่โดนนำไปถึงสองลูกก่อน แต่ก็ยังพลิกกลับมาตีเสมอได้ แม้จะต้องบอกว่ามีโชคช่วยที่เสียจุดโทษแต่ไม่เสียประตู

เนื่องจากนี่คือฟุตบอล ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ตราบเท่าที่กรรมการยังไม่เป่านกหวีดเสียงสุดท้าย

ใครจะเชื่อว่ามือหนึ่ง (หรือเท้าหนึ่ง) ของทีมอย่างเมสซี่จะสำแดงฤทธิ์ไม่ออก และพลาดจุดโทษ ซึ่งนำไปสู่การโจษจันของแฟนบอลว่าเป็นสาเหตุของความล้มเหลวในเกมนี้

เหนือสิ่งอื่นใด บุคคลหนึ่งที่สร้างกระแสไม่แพ้กัน

ใครจะเชื่อว่าเขาจะยิงประตูสำคัญในเกมสำคัญที่สุด

"เฟอร์นานโด ตอเรส"

"This is football"






คาเมะคุง

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

สักวัน

ฉันมองเธอทุกวัน

จากเบื้องหน้าของอาคาร

เธอยิ้ม...

ให้คนอื่น

เวลาผ่าน

ฉันไม่ยอมเดินไปไหน

เธอสดใส เติบโต

ฉันทรุุดโทรม ห่อเหี่ยว

ระยะทางของสถานที่ช่างชิดใกล้

แต่ระยะทางของสัมพันธ์สุดหล้า

เพียงเสี้ยววินาทีในโลกออนไลน์

ความสัมพันธ์เริ่มต้นเพียงกดปุ่มครั้งเดียว

แต่โลกความจริง

ไม่มีปุ่มให้กด

ไม่มีปุ่มเพิ่มเพื่อน

กามเทพแผลงศรมาที่ฉัน

เธอยืนดูและหัวเราะคิกคักอย่างไม่แยแส

ฉันเฝ้ารอ

สักวัน...

ที่กามเทพ

จะยิงศรใส่กลางใจเธอบ้าง



คาเมะคุง

วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555

กลัวที่ไหน


            พี่ชายของเขาเป็นมาเฟีย
            ไม่สิ... แค่ชื่อคลับคล้ายว่าน่าจะเป็นเท่านั้น ตัวจริงเสียงจริงเป็นอย่างไร น้อยคนที่รู้
            งั้นเอาใหม่... พี่ชายของเขาชื่อ “ตี๋ใหญ่”
            เพียงเอื้อนเอ่ย ก็ปรากฏภาพหนุ่มใหญ่คาดแว่นกันแดดสีดำ ใบหน้าอาจมีแผลเป็นจากการเย็บลากยาวจากคิ้วถึงกระพุ้งแก้ม น่าเกรงขาม
            แต่ใครจะนึกว่าคำที่ความหมายตรงกันข้ามจะสร้างผลกระทบทางความรู้สึกรุนแรง มีใหญ่ต้องมีเล็ก ดังนั้นชื่อของเขาจึงไม่โหดดุ แต่กลับคิกขุ น่ารัก ใครได้ยินเป็นต้องอมยิ้ม
            ตี๋เล็กเป็นชายหนุ่มธรรมดา ทั่วไปๆ ไม่ต่างจากเพื่อนในกลุ่มของเขา แต่เพื่อนๆ ตัวดีทั้งหลายต่างยกยอว่าเขามีบางเรื่องที่เหนือกว่าคนอื่น น่าเศร้าที่ไม่ใช่เรื่องน้ำใจ น้ำอดน้ำทน หรือน้ำหน้า แต่เป็น “น้ำหนัก”
            แม้เรือนร่างจะไม่ได้ใกล้เคียงกับนักกีฬา ไม่เฉียดแม้แต่น้อย แต่เขาก็รักการเล่นกีฬา โดยเฉพาะฟุตบอล เรื่องฝีเท้าน่าสนใจ ทุกครั้งที่มีเขาอยู่ในสนาม เกมวันนั้นจะมีสีสันมากเป็นพิเศษ พิเศษขนาดที่ว่าเป็นสีสันบันเทิงได้ทีเดียว เขาเป็นตัวอันตรายที่สุดเมื่ออยู่บริเวณกรอบเขตโทษ (ของตัวเอง) แมตช์ล่าสุดสถิติของเขาคือยิง 1 จ่ายให้ยิง 2 นับว่าไม่เลว หาก 3 ประตูนั้นไม่ใช่ฝั่งตัวเอง
            สัจธรรมข้อหนึ่งของโลกมนุษย์ระบุไว้ว่า คนอ้วนคือตัวตลก เพราะไม่ว่าคนเหล่านี้จะทำอะไรก็ดูน่าขบขันไปเสียทุกเรื่อง
            คนอ้วนบางคนอยากใส่กางเกงขาลีบ แต่ทรวดทรงของเรียวขาไม่ได้ลีบตามกางเกง ตลก
            คนอ้วนบางคนอยากแต่งตัวหล่อ เซ็ตผม แต่ใบหน้าอวบอัดไม่ได้เข้ากับผมชี้ฟ้า หากเข้ากับการไปจ่ายตลาดซื้อพริกชี้ฟ้ามากกว่า  ตลก
            คนอ้วนเตะบอลกับเพื่อน ทีมขาดตำแหน่งผู้รักษาประตู เขาถูกไล่ให้ไปยืนเฝ้าเสา ตลอด
            ฯลฯ
            แม้แค่มีคุณสมบัติความอ้วนอยู่ ก็ตลกได้แล้ว แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทุกคนต่างลงความเห็นว่ามันตลกจริงๆ ตลกอย่างร้ายกาจ ตลกซึ่งไม่เกี่ยวกับความอ้วน เรื่องนี้เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อโทรศัพท์มือถือของตี๋เล็กดังขึ้นในห้องที่เต็มไปด้วยเพื่อน
            “ ~กะ กะ กะ กลัวที่ไหน เกรงใจหรอกหนา...”
            ไม่ใช่... เพื่อนๆ ของเขาไม่ได้เหมารวมอย่างอคติว่าบี้คือตัวแทนของความตลก (แม้ว่าบางเพลงจะฟังแล้วจั๊กจี้ก็ตาม) แต่ความบันเทิงมันอยู่ที่ว่ามีสิ่งมีชีวิตกลมๆ ร่างหนึ่งลุกขึ้นเต้นตามเพลง ไม่ใช่เต้นแร้งเต้นกาหรือเต้นไก่ แต่เป็นการเต้นโคฟเวอร์ที่แนบเนียน มีจังหวะจะโคน แม้ว่าดูเหมือนจะโค่นก็ตาม ร่างท้วมทุ้ยเคลื่อนไหวตามเสียงเพลง กล้ามเนื้อนุ่มนิ่มตามท่อนแขนท่อนขา รวมถึงกล้ามเนื้อหน้าท้องที่น่าเกรงขามเต้นเร่า กระเพื่อมไปตามริทึ่ม สะกดผู้ชมในห้องให้จ้องตาไม่กระพริบ จนใครคนหนึ่งหลุดจากภวังค์ จึงเรียกนักเต้นให้รับโทรศัพท์ การแสดงจึงสิ้นสุด
            นับแต่นั้นมาจึงเป็นเรื่องเล่าขานและรู้กันดีในวงเพื่อนฝูงว่านอกจากศิลปินเจ้าของเพลงจะเป็นขวัญใจของเขาแล้ว ทุกครั้งที่เพลงของบี้ดังขึ้น เขาไม่อาจจะสะกดแขนขาให้อยู่นิ่งได้ ไม่ว่าเพลงช้าเพลงเร็ว เขาเต้นได้ทุกกระบวนท่า ระบำแขนและข้อมือเป็นวงรูปหัวใจได้อย่างพลิ้วสะบัด ใครคนหนึ่งถามเขาว่าไม่อายเวลาต้องเต้นกลางที่สาธารณะหรือ จึงตั้งริงโทนเป็นเพลงนี้ แต่เขายังคงตอบติดตลก ฟังแล้วอยากเตลิดเตลิง
            “กะ กะ กะ กลัวที่ไหน...”
            ดูเหมือนวิญญาณของศิลปินคนนี้จะเข้าสิงไปลึกถึงระดับจิตใต้สำนึก ต่อให้เป็นซิกมันด์ ฟรอยด์ก็ช่วยไม่ได้ คงต้องจับห่อกระดาษฟอยล์แล้วเข้าเตาไมโครเวฟอย่างเดียว ทางนั้นเขา “บี้ สุกฤษฎิ์” แต่ทางนี้มัน “ตี๋ สุกร” ชัดๆ
            ไม่ว่าใครจะมองเป็นตัวตลกอย่างไร ตี๋เล็กก็ไม่เคยโกรธเคือง แต่กลับสนุกสนานและแอบภูมิใจอยู่เล็กๆ ที่สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะในวงเพื่อนได้ ทุกคนจึงรักและเอ็นดูเขาด้วยการกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยให้พอขำขัน ขำโอ่ง ขำฝักบัวกันไป
            แต่แล้ววันที่ความตลกซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของเขาก็ไม่ทำให้เขาภูมิใจอีกต่อไป แรงดึงดูดแห่งรักดึงเขาให้ตกลงสู่เหวลึกดั่งอากาศยานที่ดิ่งเข้าสู่ห้วงแรงโน้มถ่วงของโลก และกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อกระทบพื้นดิน เขาไม่อยากเป็นตัวตลกอีก เขาอยากเท่ อยากดูดีขึ้นมาในสายตาของสาวน้อยผมยาวสีน้ำตาลอ่อนคนนั้น ดวงตาเป็นประกายโดยไม่ต้องพึ่งบิ๊กอายของเธอทำให้ใจเขาละลาย หากมันทำให้ไขมันละลายได้บ้างก็คงดี
            เขาปรึกษาเพื่อนสนิทในกลุ่มที่ดูจะคล่องแคล่วเชี่ยวชาญในเรื่องความรักเป็นพิเศษ
            “มึงต้องหาทางทำความรู้จักให้ได้ก่อน สร้างความประทับใจแรกพบให้ดี ทำตัวให้เป็นมิตร แต่อย่าเล่นตลกใส่เขาล่ะ มันไม่น่าเชื่อถือ”
            นั่นคือคำที่เพื่อนแนะนำ ตี๋เล็กเข้าใจดีและไม่คิดจะเล่นตลกกับความรัก เพียงแต่ตอนนี้ไม่มีวิธีใดๆ ในหัวเลยที่จะเชื่อมโยงเขาและเธอเข้าด้วยกัน จะใช้วิธีเดินดุ่ยเข้าไปแล้วร้องเพลง “รักนะคะคนดีของฉัน” พร้อมท่าเต้นกินใจ เขาก็คิดว่าไม่เหมาะเท่าไร อาจเป็นเพราะเขาอ้วน และไม่ได้ดูดีเหมือนบี้ เดอะสตาร์
            นับวันเขายิ่งว้าวุ่นใจ ความรักที่เป็นสิ่งสวยงาม บางครั้งกลับโหดร้าย มันกัดกินจิตใจอันบอบบาง กัดกร่อนความมั่นใจที่มีให้เป็นธุลีปลิวหายไปกับสายลม เขากระวนกระวายและไม่เป็นตัวของตัวเอง นั่นไม่เท่าไร แต่เรื่องใหญ่คือการเข้าไปทำความรู้จัก คนอ้วนอย่างเขาคงไม่อาจสร้างความประทับใจแรกพบกับใครได้ เขาตัดพ้อ
            “เราตัวอ้วน วิ่งช้า ตามความรักไม่ทันหรอก”
            เพื่อนผู้หวังดีไม่อาจทนเห็นตี๋เล็กในสภาพนี้ต่อไปได้ เขาเสนอวิธีสานสันพันธ์ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยใช้มันได้ผลชะงัดมาแล้ว ไม่ว่าฝ่ายหญิงจะชอบหรือไม่ แต่อย่างไรก็จะได้เบอร์โทรศัพท์มาไว้ครอบครองแน่นอน
            “มึงต้องแกล้งทำโทรศัพท์หาย ขอยืมมือถือเธอโทรหาเพื่อน แต่กดเบอร์มึงเอง แค่นี้ก็ได้เบอร์แล้ว หลังจากนั้นก็ค่อยโทรไป ใช้เหตุผลว่าโทรมาขอบคุณที่ให้ยืมโทรศัพท์ แล้วก็ชวนคุย ทำความรู้จัก แค่นี้เองเพื่อน”
            ตี๋เล็กผู้ไม่สันทัดกับประสบการณ์จีบผู้หญิงถึงกับอึ้งเมื่อได้ฟังแผนอันแยบยลของเพื่อน แม้ใจจะกล้าๆ กลัวๆ อยู่ แต่เสียงของบี้ก็ดังก้องในจิตสำนึกราวกับจะปลุกใจเขาให้ฮึกเหิม พร้อมเข้าสู่สมรภูมิการจีบสาว
            “กะ กะ กะ กลัวที่ไหน...”
            รุ่งขึ้น ตี๋เล็กไม่รอช้า ลากสหายที่ปรึกษาไปดักรอนางในฝันทันที ร้านกาแฟแบบเอาท์ดอร์บรรยากาศอบอุ่นอยู่ห่างจากที่กบดานของพวกเราไม่ถึง 10 เมตร เขาเล่าให้เพื่อนฟังว่าเธอมานั่งที่ร้านที่เป็นประจำ ครั้งแรกที่เห็นเธอ หัวใจมันก็ร้องเป็นเพลง ลุค ไลค์ เลิฟ
            เพียงเวลาไม่นาน เธอก็มาตามที่คาดไว้ หญิงสาวผมยาวดัดเป็นลอนหลวมในชุดเดรสลูกไม้สีขาว ผมสีน้ำตาลอ่อนส่องประกายสะท้อนกับแสงแดด ลมเบาๆ โชยมาทำให้มันปลิวสยายช้าๆ ทั้งตี๋เล็กและเพื่อนประหนึ่งถูกสะกดในมนตรา เพื่อนคลายมนต์สะกดได้ก่อน สะกิดตี๋เล็กเบาๆ
             “เฮ้ย เป็นไร”
            “จังหวะหัวใจเรา มันเต้นผิดปกติ”
            “เข้าเลยดิรอไรวะ”
            “เฮ้ย Wait a minute รอหน่อย รอหน่อย”
            “ตลกนะมึง เร็วๆ เหอะ”
            “แต่ถ้าได้เบอร์มา เราก็ไม่รู้จะโทรไปคุยอะไร”
            “มึงก็ โทรมาว่ารัก ไง”
            ทั้งสองหัวเราะก๊ากขึ้นมา แต่สำนึกได้ว่ากำลังสะกดรอยอยู่ รีบเอามือป้องปากแล้วจ้องหน้ากัน ยังคงหัวเราะคิกคัก ทำให้ตี๋เล็กคลายความตื่นเต้นลงได้บ้าง เพื่อนใช้มือดันหลังให้รีบเดินหน้าบุก เขากัดฟันแล้วทำสิ่งที่กล้าหาญที่สุดในชีวิต เดินตรงดิ่งไปยังโต๊ะของเธอ
            สาวน้อยที่กำลังนั่งดูดน้ำผลไม้ปั่นเหลือบเห็นชายหนุ่มร่างท้วมเดินมุ่งมั่นเข้าใส่ เธอแปลกใจเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับหวาดกลัว แล้วทั้งสองก็สบตากัน เธอวางแก้วเครื่องดื่มลง เลิกคิ้วขึ้นสูงเหมือนรู้ตัวว่าเขามีบางอย่างต้องการจะบอก
            “ท.. โทรศัพท์เราหาย ขอยืมมือถือโทรหาเพื่อนหน่อยได้ไหมครับ”
            หญิงสาวลังเลเล็กน้อย ก่อนยื่นไอโฟน 4S ให้ สีหน้าของตี๋เล็กเริ่มซีดขาว เหงื่อเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าเล็กน้อย
            “เอ่อ มัน...กดเบอร์ยังไงหรอครับ”
            เธออมยิ้มและขำเล็กๆ ก่อนหยิบไอโฟนจากมือเขามาสไลด์ปลดล็อกแล้วเข้าเมนูสำหรับกดเบอร์ เธอยื่นมันให้เขาอีกครั้ง เพื่อนที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ ถึงกับขำขึ้นมาในความน่าสมเพช คราวนี้ตี๋เล็กไม่พลาด ใช้นิ้วสัมผัสจอ กดหมายเลขโทรศัพท์ของตัวเองลงไปอย่างแม่นยำ แล้วจ่อไอโฟนไปที่หูข้างขวา นับถอยหลังสู่เสียงตู๊ด เสียงที่รับประกันว่าเบอร์ของเธอจะปรากฏที่เครื่องของเขา เสียงที่ประกาศเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเขากับเธอ เหงื่อกาฬเริ่มผุดมากขึ้น แม้ว่าแดดวันนี้จะไม่ร้อนมากก็ตาม
            เสียงตู๊ดดังขึ้นจนได้ แต่มันไม่ได้เป็นเสียงเดียวที่มีอิทธิพลต่อเขามากที่สุดในขณะนี้ เพราะหากมันคือเสียงสวรรค์ เสียงนรกก็แผดดังขึ้นมาควบคู่กัน
            ...
            ~กะ กะ กะ กลัวที่ไหน เกรงใจหรอกหนา ไหนใครว่าไม่กล้าเข้าไป จะให้ลุยตอนนี้ เลยก็ยังไหว...”
          สัญชาติญาณนักเต้นไม่เคยจาง มันทำงานตามหน้าที่ไม่ว่าที่ไหน
          สายลมอ่อนๆ ยังคงพัดโชย สายตาสองคู่จ้องมองกันราวกับว่าถูกตรึงเส้นสายตาเอาไว้ นอกจากแขนขาของเขาที่ยังคงเคลื่อนไหวไปตามจังหวะเพลงอย่างควบคุมไม่ได้ ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งลง แม้แต่เวลา
            ไม่มีใครกล้าทำนายฉากต่อไป
          บางทีถ้าเปลี่ยนริงโทนเป็นเพลง รักนะคะ เรื่องอาจจบสวยกว่านี้


คาเมะคุง