-->
ผู้อ่านคือลมหายใจของนักเขียน

วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทศกัณฐ์ลิขิต


            “เจอกันครั้งแรกเขาเรียกพรหมลิขิต เจอกันครั้งที่สองเขาเรียกบังเอิญ...”
            เปล่า... ผมไม่ได้พิมพ์ผิด นั่นคือประโยคก็อปปี้จากภาพยนตร์รักที่ออกจากปากของเพื่อนผม เพื่อนที่ชอบสรรหาถ้อยคำเนี้ยบๆ คมๆ มาพูดให้บาดหูคนอื่นเล่น (บางครั้งก็คมไม่พอ บาดไปก็ไม่เข้า กลายเป็นแผลถลอก) แต่คราวนี้มันก็อปปี้ไม่แนบเนียนเลยมีการสลับที่ระหว่าง “พรหมลิขิต” กับ “บังเอิญ”
            “แบบนี้กูขึ้นรถเมล์ที ก็เจอพรหมลิขิตทั้งคันเลยดิวะ” ใครคนหนึ่งโพล่งออกมาให้เจ้าของประโยคขายหน้าด้วยเสียงหัวเราะเยาะเย้ยก้อนใหญ่ ก่อนผมจะแก้ต่างให้
            “เจอกันครั้งแรกเรียกบังเอิญ เจอกันครั้งที่สองเรียกพรหมลิขิตโว้ย!

            ผมไม่ได้ชอบหรือศรัทธาประโยคนั้นเป็นพิเศษ แต่ฟังดูแล้วก็เข้าท่าดี เผื่อว่าได้เจอคนที่ถูกใจเป็นครั้งที่สอง จะลองนำไปใช้ดูว่าได้เรื่องหรือได้เลือด
            จากประโยคเบื้องต้น พรหมลิขิตของการเจอกันครั้งที่สองน่าจะหมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นโดยมีความน่าจะเป็นเพียงน้อยนิด โลกนี้มีประชากรกว่าหกพันล้านคน การพบหน้าคนๆ เดียวกัน (ที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ไม่ใช่เพื่อนร่วมงาน ร่วมโรงเรียน ร่วมหอลงโรง ฯลฯ) ถึงสองครั้งในชีวิต ว่ากันตามหลักการ (แบบโง่ๆ) โอกาสคือหนึ่งในหกพันล้านยกกำลังสอง ช่างกระจ้อยร่อยจนแทบเป็นไปไม่ได้ จึงไม่แปลกที่จะอนุมานไปว่ามี “บางอย่าง” ที่บันดาลชักพา และดลให้มาพบกันทันใด
            แต่แล้ว...
            วันหนึ่งขณะรอรถเมล์อยู่ที่ป้าย ผมพบหญิงสาวคนหนึ่ง เธอผิวขาว ตัวเล็ก ใส่แว่นกรอบใหญ่ อายุมากกว่าผมเล็กน้อย เราขึ้นรถเมล์คันเดียวกัน รุ่งขึ้น ผมไปที่ป้ายรถเมล์ในเวลาเดิม ผมเจอเธออีกครั้ง เราสองสบตา แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกจั๊กจี้หัวใจแต่อย่างไร นึกถึงประโยคที่เพื่อนพูดก็พลางรู้สึกว่า "พรหมลิขิตนี่ไม่ค่อยตื่นเต้นเลยนะ"
            พอถึงวันที่สามผมจึงเข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องโรแมนติกของพระเจ้าหรือพรหมลิขิตอะไรหรอก เพราะผมเจอเธออีกครั้งในที่เก่าเวลาเดิม วันที่สี่หรือห้าผมก็ยังเจอเธออีกจนกลายเป็นเรื่องปกติ วันไหนที่ไม่เจอจะรู้สึกมหัศจรรย์กว่า เพราะชีวิตประจำวันและสถานการณ์ที่บังคับทำให้ผมต้องพบเธอตรงนั้นในเวลาเดิมอยู่ทุกวัน หาใช่ความปรารถนาของกามเทพ
            การเปรียบเทียบระหว่างความบังเอิญและพรหมลิขิต ทำให้สองสิ่งถูกแยกจากกันทั้งที่ผมรู้สึกว่ามันคือเรื่องเดียวกัน แต่ใครสักคนก็อาจแย้งว่าพรหมลิขิตคือโชคชะตาที่ถูกขีดเส้นไว้แล้วด้วยอะไรบางอย่าง ก่อให้เกิดความรักความสวยงาม และอื่นๆ อีกมากมาย ฯลฯ บลาๆ ส่วนบังเอิญก็คือ...บังเอิญไง
            เพื่อนผมเรียกการเจอกันครั้งที่สองว่าพรหมลิขิต (เพราะมันเชื่อที่หนังพูด) หากเช่นนั้นผมจะเรียกการเจอกันครั้งที่สาม สี่ ห้า ว่าอะไรดี พระพรหมมี 4 หน้า มากกว่านั้นก็คงเป็น... ทศกัณฑ์ซึ่งมี 10 หน้า ใช่แล้ว! นี่คือ “ทศกัณฐ์ลิขิต”... ฟังดูไม่ค่อยโรแมนติกเท่าไร
            บางทีอาจไม่ต้องรอถึงสองครั้ง สมมติถึงหญิงสาวคนหนึ่ง และชายหนุ่มรูปงาม เพียงแรกพบเธอสบตาเขาก็รู้สึกซาบซ่า ดังสวรรค์บันดาลคู่ใจมาให้ เธอเรียกสิ่งนั้นว่าพรหมลิขิต แต่โชคไม่ดีที่เขาไม่ลิขิตด้วย และเรียกสิ่งนั้นอย่างเลือดเย็นว่าความบังเอิญ
            บางคู่รู้จักกันตั้งแต่ยังเป็นเฟรชชี่ พอใกล้สิ้นสุดปี 4 กามเทพเพิ่งนึกได้ว่าต้องแผลงศร ฉากรักจบลงเอยสวยงามในตอนท้าย เราอาจเรียกสิ่งนั้นว่าการเรียนรู้ที่ยาวนาน แต่พวกเขาเรียกมันว่าพรหมลิขิต
            บางคนเลิกรานับสิบ สุดท้ายเจอตัวจริงของหัวใจ เราเรียกสิ่งนั้นว่าการคัดเลือก แต่เขาก็ยืนยันว่าพรหมลิขิต         
            บางวันเราเจอคนที่ชอบโดยไม่นัดหมาย ยังไม่ทันเอ่ยปากทักทาย เธอบอก “บังเอิญจังนะ...” ทั้งที่ใจเราบอก “แม่งพรหมลิขิตชัดๆ”
            ดังนั้นต่อให้เป็นคำเดียวกัน แต่เมื่อถูกใส่ในกล่องความรู้สึกคนละใบ คุณค่า น้ำหนัก และความหมายก็เปลี่ยนไป
            อาจไม่สำคัญว่าเราจะเจอกันกี่ครั้ง นี่เป็นครั้งที่เท่าไร เป็นพรหมลิขิตหรือความบังเอิญ แต่สำคัญว่าเมื่อพบกันแล้ว สบตากันแล้ว รู้จักกันแล้ว เรารู้สึกต่อกันอย่างไร บางคนอาจรู้สึกช้า บางคนอาจรู้สึกเร็ว และบางคนก็ไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่มีใครควบคุมมันได้ แม้แต่เจ้าของ
            พระเจ้าอาจมีจริง กามเทพอาจมีตัวตน และกำลังวางแผนให้เราพบรักกับใครสักคนในวันพรุ่งนี้ แต่จะสำคัญอะไรถ้าเราอยากจะรักคนในวันนี้
            พจนานุกรมออนไลน์ (Longdo) ยกตัวอย่างประโยคของ “พรหมลิขิต” ว่า “ผู้กล่าวว่าชีวิตมนุษย์สุดแล้วแต่พรหมลิขิตเป็นการกล่าวแก้ตัวของคนที่ไม่มีความรับผิดชอบต่อชีวิต” บางทีผมอาจบอกเพื่อนให้เลิกเก็บคำคมจากภาพยนตร์แล้วเปิดพจนานุกรมออนไลน์แทน

          “เจอกันครั้งแรกเรียกอะไรนะ...” วันหนึ่งเพื่อนถามผมเมื่อมันอยากรื้อฟื้นคำคมที่จำไม่ได้
            “บังเอิญ”
            “แล้วครั้งที่สองล่ะ”
            “ก็บังเอิญ”
            “ใช่เหรอวะ... แล้วถ้าครั้งที่สามล่ะ” นี่เป็นตัวอย่างของคนที่พยายามเรียกหาพรหมลิขิต
            ผมมองหน้าเพื่อน ขมวดคิ้วและยิ้ม ก่อนตอบคำถาม
            “แปลว่าบ้านเขาอยู่แถวนั้น”


คาเมะคุง
29/ 12 / 2555
วันเกือบสิ้นปีที่ยังเฝ้ารอพรหมลิขิตอยู่

วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สิ่งที่เดินทางผ่านลิ้นชัก


            อาจมีหลายเหตุผลที่ทำให้คนอยากย้อนอดีต แต่กลับมีแค่ไม่กี่เหตุผลที่คนอยากให้ใครสักคนย้อนอดีตมาหา ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง อาจเป็นการผ่านประตูมิติอับแสนลึกลับ การปีนลงมาจากปล่องควัน หรือการโผล่พรวดมาจากลิ้นชักของโต๊ะเขียนหนังสือที่ระเกะระกะด้วยสิ่งของภายใน
            เขานอนอยู่บนพื้นห้องอย่างเกียจคร้านพร้อมด้วยแว่นสายตาที่ทำให้ดูซื่อบื้อ มือทั้งสองไพล่ที่ท้ายทอยและขาทั้งคู่ไขว่ห้างด้วยท่าทางสุดขี้เกียจ พลางเพ้อฝันถึงเรื่องดีๆ ที่ไม่มีวันเกิดขึ้น ทันใดนั้นเขาก็สะดุ้งเฮือกเมื่อสิ่งมีชีวิตอ้วนกลมโผล่พรวดออกจากลิ้นชักเขียนหนังสือที่ระเกะระกะด้วยสิ่งของภายใน พร้อมกับประโยคว่า “ฉันมาช่วยนายเพื่อให้พ้นจากเรื่องร้ายๆ ทั้งปวง” แต่ยังไม่ทันทั้งสองจะสนทนากันให้เข้าใจ แม่ของเขาก็ตะโกนขึ้นมา
            “เสียงเอะอะอะไรน่ะ โนบิตะ”
            ไม่ทันที่เขาจะใช้สมองช้าๆ คิดหาทางออก เจ้าอ้วนตัวกลมที่มีหนวดแมวบนใบหน้าก็เผ่นแผล็วลงไปในลิ้นชักอย่างรวดเร็ว
            “ลงมากินข้าวได้แล้ว” แม่ของเขายังคงตะโกนเรียกลูกต่อไป
            “โรญจน์ ลงมากินข้าวเสียที อ่านการ์ตูนอยู่ได้”
            ผมละมือจากหนังสือเล่มนั้น และหยิบมันไปเก็บไว้ที่ชั้นเป็นลำดับ 1 นำหน้าเล่ม 2 และเล่มต่อๆ ไปที่เรียงติดกันจนแน่นชั้น
            “โตป่านนี้แล้ว เมื่อไรจะเลิกอ่านการ์ตูนเสียที” มันเป็นคำบ่นที่แม้แต่คนบ่นก็อาจไม่ได้รู้สึกถึงแรงปะทะหรือกระทั่งความหมายของการมีอยู่ซึ่งประโยคดังกล่าว แต่กลับกระทบแทงสามัญสำนึกของผมอย่างเจ็บปวด
            “ทำไมไม่ไปเล่นกีฬาหรือเรียนดนตรีเหมือนเด็กผู้ชายคนอื่นๆ บ้างล่ะ” ไม่ทันไรพ่อก็โพล่งต่อกลางวงรับประทานอาหาร ทำให้ผมแทบอยากจะคายข้าวผัดที่เคี้ยวจนเละแล้วในปากลงใส่กลางชามน้ำซุป
            ผมหนีจากความขุ่นมัวและขมขื่นในวงอาหารนั้นขึ้นมาบนห้อง หยิบหนังสือเรื่องเดิมเปิดอ่าน มันเป็นเรื่องเดียวที่ผมมี แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ใครต่อใครหาว่าผมเป็นโอตาคุ และเพียงพอที่จะทำให้ชั้นวางหนังสือต้องอัดแน่นด้วยสิ่งนี้ เปล่าเลย ผมไม่ได้อยากเป็นแฟนพันธุ์แท้โดราเอมอนแม้แต่นิดเดียว แม้ผมจะรู้เกี่ยวกับมันมากมาย อาจจะมากกว่าแฟนพันธุ์แท้ตัวจริงก็ได้ ผมก็ไม่ได้ต้องการคำสรรเสริญว่ารู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งมากกว่าคนอื่น แต่หากถามถึงเหตุผลของการที่ผมต้องสายตาสั้นและใส่แว่นหนาหน้าตาโง่ๆ เพราะการ์ตูนเรื่องนี้ล่ะก็ ผมอาจตอบได้แค่ว่าผมอยากจะเห็นสิ่งมีชีวิตในกระดาษเหล่านั้นโผล่พรวดออกจากลิ้นชักที่เต็มไปด้วยข้าวของ และบอกกับผมว่า “ฉันมาช่วยนายเพื่อให้พ้นจากเรื่องร้ายๆ ทั้งปวง” พร้อมกับพาผมนั่งไทม์แมชชีนไปเพื่อให้รู้ว่าผมจะได้แต่งงานกับชิซึกะ
            ผมไม่เคยพบรัก หรือจะพูดว่าไม่กล้าสบตามันก็ได้ ผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตของล้วนแต่มองผมด้วยสายตาที่ใช้มองคนวิกลจริตคนหนึ่ง ผมไม่ได้เรียนเก่งเท่ากับความหนาของแว่น และเป็นสุดยอดห่วยด้านกีฬา รวมถึงมีเพื่อนที่พึ่งพาได้ไม่เกินสอง... หรืออาจจะหนึ่งคน บางทีการอ่านการ์ตูนมากเกินไปอาจทำให้ผมสูบบุคลิกของพระเอกในเรื่องมาอย่างไม่รู้ตัว แต่อย่างน้อยหมอนั่นก็มีชิซึกะให้แต่งงานด้วย
            ดวงอาทิตย์ลับฟ้าอย่างรวดเร็ว และผมหลับคาหนังสือการ์ตูนในมือ บนพื้นเปล่าๆ ที่ยังไม่ได้รองแม้แต่ฟูกหรือผ้าห่ม เช่นเดียวกับโนบิตะที่ชอบนอนแบบนี้ในตอนกลางวัน แล้วผมก็สะดุ้งตื่นจากเสียงกุกกักในลิ้นชักที่ระเกะระกะด้วยสิ่งของไร้ประโยชน์นานาชนิด
            สิ่งที่โผล่พรวดขึ้นมาช่างเหนือความเป็นไปได้ในโลก แต่ไม่อาจเหนือกว่าจินตนาการและความคาดหวังที่ผมมีมาตลอด สิ่งนั้นอ้วนกลมสีน้ำเงินและท่าทางดังสิ่งที่ผมฝัน พร้อมกับประโยคเดิมนั้น “ฉันมาช่วยนายเพื่อให้พ้นจากเรื่องร้ายๆ ทั้งปวง” สถานการณ์ไม่ทำให้ผมควบคุมจิตใจให้สงบนิ่งได้ มันเหลือเชื่อ ล่องลอย และไร้เหตุผล
            “ฉันทำให้นายตกใจหรือเปล่า โนบิตะ ว่าแต่นายหน้าตาไม่เหมือน*เซวาชิเลยนะ”
            “ฉันชื่อโรญจน์ ไม่ใช่โนบิตะ และที่นี่ก็ไม่ใช่ญี่ปุ่นปี 19xx นี่นายควรจะโผล่ไปด้วย”
            ใบหน้าเหรอหราที่มองไปรอบห้องอันมืดดำช่างน่าขบขัน และยียวน เขามองผ่านหน้าต่างออกไปเห็นหลังคาบ้านอื่นๆ เรียงรายอย่างไม่คุ้นเคย จากนั้นจึงพูดอย่างไม่รับผิดชอบว่า “งั้นขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ ฉันไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อ ลาก่อน”
            “เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป”
            “ฉันรู้ว่านายมีคำถามมากมาย แต่ลืมมันซะเถอะ นอนซะ จากนั้นวันพรุ่งนี้นายจะรู้เองว่ามันเป็นความฝัน ฉันขี้เกียจอธิบายว่าฉันไม่ใช่ตุ๊กตาทานูกิสีน้ำเงินอย่างที่คนอื่นเห็นฉันครั้งแรกแล้วต้องบอกแบบนั้น ลาก่อนนะ”
            “ฉันรู้ว่านายเป็นใคร” ผมควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นด้วยความตื่นเต้น “นายคือหุ่นยนต์แมวจากศตวรรษที่ 22 ชื่อว่าโดราเอมอน นายเคยมีหูและมันทำให้ดูเหมือนแมวมากกว่านี้ แต่กลับถูกหนูกัดขาด แฟนที่เคยมีก็ทิ้งนายไปเพราะนายกลายเป็นหุ่นกระป๋องอ้วนหัวกลม จากนั้นนายร้องไห้เสียใจจนตัวกลายเป็นสีฟ้า และเกลียดหนูมากที่สุดในโลก นายชอบโดรายากิและมีของวิเศษเต็มกระเป๋า และตอนนี้นายกำลังจะนั่งเครื่องย้อนเวลาไปหาโนบิตะ ปู่ทวดของเซวาชิคนที่วานให้นายไปดูแล”
            เขาอึ้งไปสักพักและเริ่มสนใจในตัวผมมากขึ้น ผมชูหนังสือการ์ตูนในมือที่มีรูปของเขาให้ดู เขาตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย แต่ด้วยความชำนาญจากโลกอนาคตทำให้เขาน่าจะรู้ว่าในประวัติศาสตร์แห่งห้วงเวลา ควรจะมีเหตุการณ์ประหลาดๆ มากมายที่ไม่ต้องการคำอธิบายมากนัก
            “แต่นายไม่ใช่โนบิตะ ไม่ใช่หน้าที่ของฉันที่ต้องดูแลนาย”
            “แล้วทำไมฉันถึงไม่มีหุ่นยนต์อย่างนายมาดูแลเหมือนโนบิตะบ้าง นายโผล่มาหาฉันได้ แปลว่ามีโอกาสที่ฉันจะมีโดราเอมอนมาดูแลเหมือนกันใช่ไหม”
            “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ในมิติของห้วงเวลา นายอาจจะเป็นโนบิตะอีกคนหนึ่งที่มีโดราเอมอนมาดูแล เป็นอีกห้วงเวลาหนึ่ง แต่สำหรับฉันตอนนี้ไม่ใช่นาย”
            “งั้นให้ฉันไปหาโนบิตะกับนายด้วยได้ไหม ฉันรู้ว่าไทม์แมชชีนจะสามารถย้อนเวลากลับมาอีกทีตรงจุดนี้ได้ แม้ว่าฉันจะท่องไปในอีกมิติหนึ่งนานนับสิบปีก็ตาม”
            ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ผมไม่ควรได้รับอนุญาต ระหว่างที่เขาพยายามจะโดดหนีและละทิ้งความรับผิดชอบ ผมซึ่งอยู่ในสถานการณ์เหนือเหตุผลไม่อาจปล่อยชั่วขณะนั้นให้หลุดลอย ผมโดดตามลงไปในลิ้นชัก แม้ตอนแรกจะรู้สึกเสียวว่ามันจะพังลงมาเพราะน้ำหนักตัวผม แต่ผมก็อยู่บนเครื่องย้อนเวลากับเขาจนได้ แม้จะโวยวายยังไง แต่ผมก็ยืนกรานจะไปด้วยจนเขาต้องจำนน
            ที่นี่ไม่ต่างอะไรจากสิ่งที่ผมรู้เลย มีโนบิตะแสนขี้เกียจ ซูเนโอะจอมขี้อวด ไจแอนท์บ้าพลัง และชิซึกะแสนน่ารัก หากโดเรมอนทำให้โนบิตะตกใจเพราะการโผล่มาจากลิ้นชัก ผมก็คงทำให้เขาตกใจจากการที่สามารถบอกเรื่องราวของเขาได้อย่างละเอียดราวกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และคนอื่นๆ ก็ต้องประหลาดใจในเหตุผลเดียวกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้ต่อต้าน และยอมให้ผมเป็นเพื่อนโดยดี
            ชิซึกะเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักเกินจะมีตัวตนจริงบนโลก แววตา น้ำเสียง และบุคลิกของเธอทำให้คนโง่ๆ อย่างโนบิตะ (และผม) ตกหลุมรักอย่างจะเป็นจะตายได้ไม่ยาก นี่คือสิ่งเดียวที่เกินความคาดหมายของผม นอกนั้นเป็นสิ่งที่ผมคุ้นเคยราวกับขลุกอยู่ด้วยตั้งแต่จำความได้ เสียงหัวเราะของซูเนโอะ อารมณ์รุนแรงของชายชื่อโกดะ ทาเคชิ และลานกว้างแห่งความทรงจำที่มีท่อสามอันวางซ้อนกัน
            ผมอยู่กับพวกเขาถึงเย็นมืด จนไม่มีที่จะไป จึงขอโดราเอมอนนั่งไทม์แมชชีนกลับสู่ลิ้นชักในปัจจุบัน และจากความไว้ใจที่ผมมีให้ ซึ่งเขาก็เริ่มมีให้ผมเช่นกัน  ทำให้ทุกวันหลังอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ผมจะเปิดหนังสือการ์ตูนและทบทวนเรื่องราว จากนั้นจึงดึงลิ้นชักออกกว้างและกระโดดลงไปสู่โลกใบนั้น ที่มีพวกเขา และชิซึกะ เวลาทั้งวันในโลกนั้นทำให้ผมเหนื่อยอ่อน แม้เวลานอนจะเท่าเดิม แต่ก็ทำให้ผมไปสัปหงกที่ห้องเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ
            ผมผจญภัยไปกับพวกเขา ได้สัมผัสกับของวิเศษที่หลายล้านคนบนโลกเคยใฝ่ฝัน หากให้เลือกของวิเศษอย่างได้อย่างหนึ่ง ผมรู้ดีว่าทุกคนจะต้องเลือกคอปเตอร์ไม้ไผ่ ไทม์แมชชีน หรือประตูไปไหนก็ได้ หนึ่งในนี้ ครั้งหนึ่งผมได้ใช้ประตูนั่น มันอัศจรรย์ ผมเปิดมันและเจอกับอีกสถานที่หนึ่ง ผมชะโงกหน้าไปดูด้านหลังของประตูว่าจะปรากฏภาพอะไร แต่กลับไม่มีประตูอยู่ ทั้งที่ด้านหน้ามันเปิดออกและมีอีกที่หนึ่งในนั้น  เราย้อนเวลาไปแดนไดโนเสาร์ ลงสู่ใต้ทะเลลึก หรือแม้แต่ป่าเขาอันลึกลับ ทุกย่างก้าวผมรู้คำตอบดีว่าภาพสุดท้ายเป็นอย่างไร แต่ผมไม่อาจห้ามหัวใจไม่ให้เต้นรัวได้ ผมปลาบปลื้มจนแทบร้องไห้ทุกครั้งที่กลับมายังที่นอนของตัวเองในทุกๆ คืน บางครั้งผมยังฝันต่อไปว่าผมยังอยู่กับโดราเอมอนและเพื่อนๆ พวกเขาช่างดีเหลือเกิน ดีกว่าโลกที่ผมอยู่ตอนนี้เกินกว่าจะบรรยายได้
            การเรียนของผมย่ำแย่ลงเรื่อยๆ แม้ปกติมันจะย่ำแย่มากพอแล้วก็ตาม พ่อและแม่ยังดุด่าและเคี่ยวเข็ญผมเหมือนเดิม แต่ผมไม่เคยเสียใจ หรือกระทั่งใส่ใจ ทุกคนในโลกใต้ลิ้นชักดีต่อผม ไจแอนท์ไม่ได้ชอบต่อยผมเหมือนที่เขาทำกับโนบิตะ และชิซึกะก็น่ารักและดีกับผมเสมอ ผมอิจฉาโนบิตะที่เขาจะได้แต่งงานกับเธอ
            ครั้งหนึ่งที่ผมได้อยู่กับโดราเอมอนเป็นการส่วนตัวขณะทุกคนไปเรียน บนชั้นสองของบ้านตระกูลโนบิ หน้าต่างเปิดโล่ง ลมยามบ่ายแก่ๆ ของฤดูใบไม้ร่วงพัดโชย ผมสนทนากับเขาอย่างลูกผู้ชาย
            “ชิซึกะจะต้องแต่งงานกับโนบิตะเท่านั้นหรือ”
            “ใช่แล้ว หากเส้นทางของกาลเวลาเดินไปอย่างไม่สะดุด และไม่มีอะไรมาเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของอนาคต”
            “หมายความว่าหากมีอะไรมาทำให้ระหว่างทางนั้นบิดเบี้ยวไป อนาคตก็อาจจะเปลี่ยนไปได้”
            “ใช่แล้ว” เขาตอบกลางหยิบโดรายากิเข้าปากทั้งอัน
            “ชิซึกะก็อาจจะมาแต่งงานกับฉันแทนได้อย่างนั้นสิ”
            เขาสำลักรุนแรง “ม... หมายความว่าไง นายชอบเธอหรือ”
            “ใช่ แต่ฉันรู้ดี ฉันรู้ทุกอย่าง นายไม่ต้องบอกอะไรฉันหรอก”
            “ฉันไม่ได้จะห้ามอะไรนาย และไม่ได้จะปกป้องโนบิตะ” เขาใช้มือปาดเศษโดรายากิที่เลอะปาก “แต่ที่นี่ไม่ใช่โลกของนาย ชิซึกะและนายไม่ใช่ของกันและกัน ยังไงนายก็ไม่ได้แต่งงานกับเธอหรอก”
            “นายมาจากโลกที่วิทยาศาสตร์เฟื่องฟูไม่ใช่หรือ นายควรเชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้หากมันมีความน่าจะเป็นสิ”
            “แม้วิทยาศาสตร์จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้หลายอย่าง แต่บางสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ก็ไม่อาจทำอะไรได้ มันถูกวางไว้ด้วยข้อจำกัดอะไรบางอย่าง มันเป็นกฎแห่งสัจธรรม”
            สายตาของเขาเหมือนกับเห็นใจใครสักคนอย่างเต็มที่ แต่เจ็บปวดเพราะไม่อาจช่วยอะไรได้ โนบิตะเป็นคนดี แม้จะโง่เง่าไปในหลายครั้ง ส่วนชิซึกะก็เป็นเด็กผู้หญิงที่ผมใฝ่ฝัน มันไม่แปลกที่อะไรสักอย่างซึ่งอยู่ในความปรารถนาแห่งอุดมคติจะไม่มีตัวตนอยู่ในโลกแห่งความจริง แต่ผมได้พบเธอแล้ว แม้ในโลกที่ขนานกันอย่างไม่แยแส และไม่อาจมีอะไรเกี่ยวพันกันได้ ผมไม่อาจมอบชีวิตให้กับโลกใบนี้ ผมมีความเป็นจริงแสนโหดร้ายที่ต้องแบกรับ ผมรู้ข้อนั้นดี บางครั้งเส้นกั้นแห่งความฝันและความจริงก็บางเกินไป จนไม่อาจรู้ได้ว่าซีกไหนควรจะเป็นพื้นที่ที่สมควร
            ผมเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง หน้าต่างชั้นสองของบ้านตระกูลโนบิ ดวงอาทิตย์สีส้มค่อยๆ ทิ้งตัวลงขอบฟ้า แสงสีทองทอทาบบ้านเรือน ข้างในของผมกำลังส่งเสียงร่ำไห้อย่างสงบ
            “ฉันขอกลับก่อน” ผมบอกเขา และเขาไม่ได้พูดอะไรเพื่อรั้งหรือแสดงความสงสัยราวกับเข้าใจทุกอย่างดี เจ้าสิ่งมีชีวิตอ้วนกลมสีน้ำเงิน นายไม่ได้เข้าใจอะไรทุกอย่างหรอกนะ
            “หากทุกอย่างอยู่ในความน่าจะเป็น สักวันจะมีโดราเอมอนไปหานาย และพานายไปยังอนาคตของนายเองเพื่อพบว่านายจะได้แต่งงานกับคนที่ควรจะสวมชุดเจ้าสาวข้างๆ นาย”
            “หากนั่นเป็นคำปลอบใจ ฉันก็ขอบคุณนายมาก นายดีต่อฉันจริงๆ เพื่อน” ผมหันกลับและโดดเข้าไปในลิ้นชัก สู่ความมืดและเงียบงันในห้องที่เต็มด้วยการ์ตูน ผมทิ้งตัวลงพื้นเปล่าและหลับไป น้ำตาไหลที่ไหลออกมาราวกับรู้ว่าผมจะไม่ได้กลับไปยังโลกนั้นอีก ไม่มีเหตุผลว่าทำไมผมจึงรู้สึกเช่นนั้น แม้ลิ้นชักก็ยังตั้งอยู่ที่เดิม พร้อมจะพาผมไปผจญภัยในโลกที่ผมใฝ่ฝันได้ตามต้องการ
            ผมตื่นด้วยความงัวเงียและลากร่างอ่อนล้าไปเรียน แน่นอนว่าผมหลับเกือบทั้งวัน และเมื่อกลับมาที่บ้านผมก็ถูกลงโทษอย่างสาสม
            ในห้องไม่มีหนังสือการ์ตูนของผมอีกแล้ว มันแหลกเป็นจุลอยู่กลางสนามหญ้าเล็กๆ ข้างบ้าน เปลวไฟมอดเหลือเพียงธุลีดำมืดแห่งความปวดร้าวที่ลอยขึ้นฟ้าไปทีละนิดราวกับพวกมันกำลังเดินทางไปสู่สวรรค์ ผมโวยวายอย่างใจจะขาด แม้รู้ว่าไม่มีประโยชน์อันใด แน่นอนว่าการเรียนของผมไม่เป็นที่น่าพอใจและนำมาสู่การฆาตกรรมเพื่อนรักของผมทั้งหมดด้วยกองเพลิง ผมร้องไห้อย่างทุรนทุราย แต่ยังมีสติพอจะคิดได้ว่า หากโดราเอมอนเป็นเพื่อนของผม เครื่องมือบางชิ้นก็สามารถทำให้ของรักเหล่านั้นกลับมาได้ ผมเปิดลิ้นชัก ถอยห่างไปสามก้าว และกระโดดลงไปอย่างสุดแรง หลับตาเพื่อลบภาพโหดร้ายของโลกความจริงนี้ทิ้ง แล้วจมดิ่งไปสู่อีกห้วงกาลเวลา
            เสียงสนั่นทั่วห้อง แม่วิ่งขึ้นมาดูด้วยสีหน้าตกใจ ชิ้นส่วนของลิ้นชักกระจัดกระจายเหมือนแจกันที่ตกจากที่สูง ของที่เคยรกรุงรังภายในเกลื่อนกลาด ไทม์แมชชีนของผมแตกสลายไปแล้ว ผมนอนแผ่กลางห้องด้วยความเจ็บปวด มองไปยังเพดานที่ไม่มีแม้ความหวังอันใดปรากฏอยู่ หากนายคิดถึงฉันก็ช่วยโผล่มาจากที่ใดที่หนึ่งในบ้านหลังนี้ที ผมหลับตาและคิด แม้ภายในจะไม่มีแสงเล็ดลอดแห่งความหวังใดสอดส่องอยู่เลย สิ่งที่ผมภาวนาก็คือหากลืมตาขึ้นแล้ว ทุกอย่างคือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น และช่วงเวลาเหล่านั้นคือค่ำคืนหนึ่งที่ผมแค่อ่านการ์ตูนมากเกินไป แต่ผมไม่กล้าแม้จะเปิดเปลือกตาเพียงข้างใดข้างหนึ่ง
            น้ำตาที่เอ่อล้นนั้นหนักเกินกว่าจะทำให้ดวงตาของผมเปิดได้



คาเมะคุง
9/12/55
วันที่โดราเอมอนปรากฏตัว

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บันทึกประจำวันของสิ่งหนึ่ง : การรักษาความลับ


            การเริ่มต้นอยากสำหรับผมเสมอ ไม่ว่าเรื่องอะไร
            แม้แต่จะพิมพ์บางอย่างที่ไม่มีคุณค่าสาระอะไรลงในคอมพิวเตอร์ก็ยังยาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องละเอียดอ่อนอื่นๆ
            แต่อย่างไรเช้าวันนี้ของผมก็เริ่มต้นด้วยดี หลังฝนฟ้าคะนองของเช้าเมื่อวานสลายไป พระเจ้าให้ไอเย็นแก่เราเป็นของตอบแทนในช่วงรุ่งสาง ผมออกจากบ้าน และขึ้นรถเมล์เช่นทุกวัน หญิงสาวคนหนึ่งในชุดพนักงานออฟฟิศก้าวขึ้นมา เธอใส่เสื้อเชิร์ทลายดอกไม้และกระโปรงสีกรมท่า ผมระลึกได้ว่าเราเคยเจอกัน ทั้งในช่วงสั้นๆ ก่อนหน้านี้ และช่วงยาวๆ ก่อนหน้านี้ เธอเป็นรุ่นพี่โรงเรียนมัธยมของผม แต่ผมไม่รู้จักเธอ และเธอก็ไม่น่าจะรู้จักผม หรืออาจจะรู้ แต่จำไม่ได้ หรืออาจจะจำได้ก็ตาม อย่างไรผมก็จำเธอได้ ผมเป็นพวกที่จดจำใบหน้าคนได้ค่อนข้างแม่นยำ แม้แต่เพื่อนตอนประถมที่ไม่เจอกันกว่าสิบปี แค่สบตา สำรวจคิ้วและคางก็พอระลึกได้ว่าเขาเป็นใคร แม้รูปร่างหน้าตาจะผันแปรไปตามกงล้อของกาลเวลาก็ตาม
            ผมไม่ได้สนใจเธอ และเธอก็ไม่ได้สนใจผม ในรถเมล์แคบๆ คันหนึ่งจะมีอะไรสำคัญไปกว่าการแย่งชิงที่นั่งเพื่อหลับใน และคาดหวังให้ถึงที่หมายเร็วๆ
            ผมถึงออฟฟิศก่อนเวลากำหนดอยู่พอสมควร ทักทายญาติผู้ใหญ่ด้วยมารยาทที่จำเป็น และนั่งลงบนโต๊ะตัวเดิม อู้งานก่อนสักสิบถึงสิบห้านาทีก่อนจะเริ่มอย่างจริงจัง
            ผมง่วงเสมอในตอนเช้า และตอนบ่าย ไม่ว่าคืนนั้นผมจะนอนแต่หัวค่ำ หรือโต้รุ่ง ผมลุกไปเข้าห้องน้ำบ้างเพื่อคลายความงัวเงีย อย่างไรวันนี้ก็เป็นวันสงบสุขที่เริ่มต้นด้วยอากาศเย็นสบายและปลอดโปร่ง
            แล้วความสงบในจิตใจก็มลายเมื่อผมพบว่ากางเกงขายาวของผมมีปัญหาบริเวณซิป ทั้งสองฝั่งซึ่งเชื่อมสัมพันธ์ด้วยตัวรูดกลับไม่สมานกันอีกต่อไป ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ว่านอกจากคนรักกันสองคนแยกจากกันแล้ว มีบางสิ่งที่เจ็บปวดกว่าเมื่อมันต้องแยกออกจากกัน และคนที่เจ็บปวดนั่นก็คือผมที่จะต้องดำรงอยู่ภายใต้ความหวาดระแวงตรงกลางไปจนเลิกงาน
            โชคดีในโชคร้าย คำนี้มีอยู่จริง เชิ้ตที่ผมยืมเพื่อนมาและไม่ได้เอาไปคืนที่ห่อหุ้มร่างอยู่นั้น ชายเสื้อยาวพอที่จะซ่อนความน่าอับอายนั้นไว้ได้ ผมคิดว่าเป็นโชคดีเหลือเกินที่ผมรู้ตัวก่อนจะสาย แม้ว่าขณะนั้นจะเป็นเวลาสายแล้วก็ตาม แต่ทบทวนอีกครั้งหนึ่ง หากผมไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่งถอดกางเกงโยนลงตะกร้าผ้าตอนกลับบ้านแล้ว อะไรจะดีกว่ากัน แต่อย่างน้อยในเคสนี้ผมก็ไม่ต้องสงสัยว่าคนที่ผ่านไปมาและจ้องมองที่ผมนั้นเพราะอะไร
            มันไม่ลำบากเท่าไรที่จะปกปิดความลับซึ่งมีเพียงผมคนเดียวในโลกที่รู้ ความลับมีในโลก ผมเชื่อแบบนั้น แต่มันจะเป็นความลับก็ต่อเมื่อมีคนคนเดียวที่ล่วงรู้ หากเอาไปกระซิบหูใครสักคนแล้วบอกว่า นี่เป็นความลับ ก็รับรองได้เลยว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมนิยามว่าความลับอีกต่อไป
            จู่ๆ ผมก็ฉุกคิดว่าการไม่รูดซิปมันเป็นเรื่องน่าอายแค่ไหน ทั้งๆ ที่หากมันเปิดอ้าออก สิ่งที่คนอื่นเห็นก็แค่เนื้อผ้าของกางเกงบ็อกเซอร์ แต่ก็นั่นแล่ะ เวลามีใครสักคนลืมรูดซิป พวกเขาต่างก็มองว่าเป็นการเผยสิ่งเร้นลับแสนอุบาทว์ เขาจะจินตนาการว่ามีบางอย่างที่ไม่ควรออกสู่โลกภายนอกกำลังกระโจนออกมาจากช่องว่างนั้นและหลอนลูกตาพวกเขา
            อย่างไรก็ตาม ผมทำได้ดี ไม่มีใครรู้ว่าผมเก็บซ่อนอะไรไว้ ผม อาโรญจน์ นบบดี ยังคงเก่งในเรื่องที่ต้องทำด้วยตัวคนเดียวเสมอ ไม่มีใครสักคนวันนี้ที่สะกิดไหล่แล้วพูดว่า “อาโรญจน์ ทำไมคุณถึงชอบเอามือไปไว้ตรงนั้นเสมอล่ะ มันเสียบุคลิกนะ” ไม่มีสักคน
            ก่อนกลับบ้านผมสำรวจในกระจกอีกครั้งว่าท่วงท่าไหนที่จะไม่เผยมันออกมา แล้วผมก็รอเวลาดีดตัวกลับบ้านอย่างรวดเร็ว โดยไม่แคร์ว่าคนอื่นๆ จะยังนั่งรากงอกอยู่ที่เก้าอี้ของพวกเขา การต้องทนอยู่ในกางเกงที่รูดซิปไม่ได้นั้นทรมานกว่าการบากหน้าเดินดุ่มๆ ไปยังประตูทางออกท่ามกลางพนักงานคนอื่นที่ตั้งใจทำงานเป็นไหนๆ
            ในที่สุดผมก็ถึงรถไฟฟ้า และแทรกตัวอัดเข้าไปอย่างดันทุรัง ถอนหายใจยาวก่อนจะลุกลี้ลุกลนอีกครั้ง
            ผมขึ้นรถไฟฟ้าผิดฝั่ง
            แต่ก็เป็นเรื่องโชคดีในโชคร้ายอีกเช่นกันที่รถไฟฟ้านั้นสามารถลงจากสถานีและเดินขึ้นไปอีกฝั่งหนึ่งได้โดยไม่เสียเงินแม้แต่สลึงเดียว สิ่งที่ผมเสียไปก็แค่เวลานิดหน่อย กับความรู้สึกที่คิดว่าตนเองเป็นคนฉลาดอีกเล็กน้อยเท่านั้น
            จากรถไฟฟ้า สู่รถเมล์ เหมือนสูงสุดสู่สามัญ และพรุ่งนี้ก็จะเริ่มจากสามัญ ไปสูงสุดอีก ชีวิตเป็นเช่นนั้น ผมนั่งลงและเอาชายเสื้อปิดที่หน้าขาให้แนบเนียนที่สุด สายตาสะดุดกับบางอย่างเบื้องหน้า ด้านหลังของเสื้อเชิ้ตลายดอกไม้ เพียงแค่นั้นผมก็รู้ว่าเธอคือรุ่นพี่โรงเรียนมัธยมคนเดิมที่ผมเจอในรถเมล์คันเดียวกันตอนเช้า
            มันอาจไม่ใช่เรื่องแปลกหากคนสองคนที่มีตารางเวลาชีวิตใกล้กันจะพบกันบนเส้นทางในแต่ละวัน แม้แต่อยู่ในรถเมล์คันเดียวกันทั้งรอบเช้าและเย็น แต่น่าเจ็บใจเสมอที่คนบางคน เรากลับได้พบเขาเพียงครั้งเดียว ครั้งเดียวเท่านั้นจริงๆ แม้ปรารถนาพระเจ้าให้ขีดเส้นทางชีวิตของเราและเขาพาดกันอีกครั้ง แต่พระเจ้าก็ปฏิเสธเรา และยัดเยียดความบังเอิญประหลาดอื่นๆ ที่เราไม่เคยต้องการให้เป็นสิ่งทดแทน ไม่ว่าจะซิปแตก ขึ้นรถไฟฟ้าผิดฝั่ง หรือเจอใครบางคนที่แค่เคยเห็นหน้าถึงสองครั้งในวันเดียว
            เอาเถอะ อย่างน้อยวันนี้ผมก็เริ่มต้นได้ดี แม้หลังจากนั้นมันจะบังเอิญผิดเพี้ยนไปบ้าง
            พระเจ้าคงไม่มีจริง


29/11/55
วันที่เริ่มต้นได้ดี

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บันทึกประจำวันของสิ่งหนึ่ง : วันเกิด


                วันนี้คือวันเกิดของผม
            ไม่ต้องสงสัยอะไรให้มากความ วันเกิดก็คือวันเกิด เรื่องมันมีแค่ว่าโลกใบนี้ รวมถึงเอกภพก้อนนี้มันไม่เคยมีผมอยู่ แล้วจู่ๆ วันหนึ่งมันก็เกิดมีผมขึ้นมา โดยที่ไม่รู้ว่ามันอยากจะมีหรือไม่
            “ผม” ที่ว่าก็คือตัวผม ผมมีตัวตน คือผมที่มีวันเกิดคือวันนี้ ไม่ใช่ไอ้หน้าโง่คนไหนที่เสกสรรปั้นเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ไม่แน่หรอก ผมอาจจะโง่กว่าเขาก็ได้ ก็เขาเป็นคนสร้างผมขึ้นมา เขาอาจจะให้ผมฉลาดเป็นกรด หรืออาจโง่กว่าแมลงสาบที่แม้รู้ว่าเวลาเจอหน้ากับมนุษย์ที่รังเกียจทุกอย่างยกเว้นตัวเองแล้วมันจะต้องเสพยาฆ่าแมลงเข้าไปและนอนหงายท้อง ก็ยังดักดานที่จะเสือกร่างผ่านท่อระบายน้ำขึ้นมาเดินดุกดิกบนพื้นกระเบื้อง มันเป็นลิขิตของเขา แต่ผมเชื่อว่าการที่เขาลิขิตตัวตนผมขึ้นมาไม่ใช่โชคดีของเขาเท่าไร
            อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเขาจะมีความรับผิดชอบแบบลวงๆ อยู่บ้าง ที่ได้อุตริตั้งชื่อให้ผมว่า “อาโรญจน์ นบบดี” โปรดเถอะ อย่าได้ถามว่ามันหมายความว่าอะไร มีแต่คนเพี้ยนเท่านั้นที่เข้าใจความคิดของตัวเอง และแน่นอน ผมไม่อาจรู้ว่ามีอะไรบ้างที่ลอยและจมอยู่ในของเหลวสีชมพูซึ่งบรรจุอยู่ในกะโหลกบางๆ ของเขา ในขณะที่เขาอาจจะรู้ทุกเรื่องของผม ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่อนาคต และเขาก็ยังรู้เรื่องของตัวเองดีกว่าใครในโลก
            ถึงกระนั้นผมก็เชื่ออย่างหนักแน่นว่าผมมีความทรงจำและความรู้สึกของตัวเอง โดยไม่ต้องให้เขาคอยจัดสรรทางเดินทุกอย่าง ผมคิดว่าเขาเป็นแค่ชายเห็นแก่ตัวที่อยากเล่าสิ่งต่างๆ มากมายในมุมมองของตัวเอง แต่ไม่อยากเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครสักคนบนโลกฟัง เลยตกเป็นผมที่ต้องเกิดขึ้นมาในวันนี้ ผมมีหลายอย่าง และอาจเกือบทุกอย่างคล้ายเขา ผมชอบฟุตบอล ผมมีงานทำ ผมโดดเดี่ยวและมักสิ้นหวังในรัก เขาก็อาจเป็นเช่นนั้น แต่อย่างไรก็ยืนยันว่าผมไม่ใช่เขา และเขาก็ต้องไม่ใช่ผม ไม่มีอะไรพิสูจน์เรื่องนี้ได้
            เรื่องมันอาจเกิดขึ้นจากการที่แสงไฟบางดวงในวิญญาณของเขามอดลง เขาอ่านหนังสือมากมาย และอยากเล่าเรื่องหลายเรื่อง แต่เขาทำไม่สำเร็จ มี 4 ถึง 5 เรื่องในตอนนี้ที่ดักดานอยู่ในหน้ากระดาษแต่ไม่ถึงจุดสิ้นสุด  เขาคิดว่าการดำรงอยู่เช่นนั้นเป็นปัญหา เขาจึงอยากนั่งลงและพูดคุยกับตัวเองผ่านกระจก แต่สิ่งที่อยู่ในนั้นก็ไม่อาจโต้ตอบเขาได้ เขาจึงคิดว่าผมจะเป็นผู้รองรับทุกอย่างที่สกปรกของเขาได้ แต่ผมว่าเขาคิดผิด
            ผมชอบเขียนไม่ต่างจากเขา และผมก็เข้าใจความรู้สึกของการเขียนไม่ออก แม้ว่าปากกาจะยังเต็มล้นด้วยหมึก และหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ยังสว่างไสว มีนักเขียนหลายคนที่ฆ่าตัวตายเมื่อถึงเวลาหนึ่ง หนึ่งในนั้นทำไปเพราะเขาไม่สามารถเขียนอะไรได้อีก มันก็เหมือนกับการที่คุณรักฟุตบอลมากแต่คุณสูญเสียขาทั้งสองข้างนั่นไป มันไม่มากเกินควรเลยที่จะฆ่าตัวตายเพื่อสิ่งนั้น แต่อย่างไรโลกนี้ยังมีฟุตบอลอยู่ และขาทั้งสองของผมก็ยังไม่จากไปไหน ผมคงไม่ฆ่าตัวตายเพราะแค่ไม่สามารถเขียนอะไรที่ทำให้ตัวเองรู้สึกทะนงไปได้สองสามวันแค่นั้นหรอก แต่กับเขา ไม่รู้สิ เขาอาจจะทำก็ได้
            ผมจะเลิกถกเถียงกับตัวเองเรื่องข้อพิพาทระหว่างเขากับผม แล้วเริ่มต้นเล่าเรื่องราวในแต่ละวันแทน... ให้ใครฟังหรือ ไม่รู้หรอก อาจจะเขา คุณ หรือตัวผมเองก็ได้
            วันนี้เป็นวันเกิดของผม มันเริ่มต้นด้วยเช้าตรู่ที่มาพร้อมสายฝนร่วงหล่น ทำให้ผมต้องพกร่มออกจากบ้านในรอบหลายเดือน ความลื่นของถนนไม่ได้ทำให้วัตถุบนนั้นเคลื่อนที่ไปได้เร็วขึ้นเลย กลับกัน มันย่องอย่างระแวงราวกับจะก้าวเหยียบกักระเบิดที่พร้อมป่นร่างให้กระจุย ผมไม่เคยได้รับความรู้สึกแข่งกับเวลาเท่านี้มาก่อน การที่มาสายเกินเวลาไปเพียง 1 นาทีก็มีผลชี้เป็นชี้ตายได้มันช่างทำให้โลกของผมน่ารังเกียจยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ต้องขอบคุณอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมทันเวลาแบบฉิวเฉียด
            ผมเริ่มงานที่นี่เป็นวันที่สาม ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเป็นพิเศษ ผมยังต้องอ่อนล้าในดวงตาเหมือนกับมนุษย์ออฟฟิศคนอื่นๆ และใช้เวลาพักกลางวันรอคิวจากร้านอาหารที่อัดแน่นด้วยผู้คน และกลับมานั่งที่เดิมเพื่อสัปหงกอยู่เป็นระยะ จนถึงเวลาเลิกงาน
            ปกติผมอยากจะรีบแจ้นออกจากออฟฟิศทันทีที่ถึงเวลา แต่พนักงานคนอื่นๆ ก็ห้ามผมด้วยการนั่งทำงานต่อไปโดยไม่มีใครเคลื่อนไหวสักคน ที่สุดผมก็ต้องรอประมาณ 10 นาที ก่อนจะลุกเป็นคนแรกและเดินอย่างเก้กังไปที่ประตู
            แต่วันนี้ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้ รุ่นพี่คนหนึ่งกำลังจะลาตำแหน่งในแผนก เชื่อว่าการที่เขารับผมเข้ามาคือเพื่อทดแทนตำแหน่งนั้น เขาและเจ้านายพาผมไปเลี้ยงอำลา และเป็นการต้อนรับผมซึ่งเป็นน้องใหม่ ผมได้กินอาหารราคาแพงด้วยราคาฟรีอีกครั้งหลังจากเจ้านายบริษัทเก่าเลี้ยงอำลาผมไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว บางทีผมอาจจะทำงานสักบริษัทละ 3 เดือนเพื่อจะได้มีอาหารมื้อใหญ่กินฟรี ทุกๆ ครั้งที่ออกจากงาน
            สิ่งที่เตือนผมว่าวันนี้ไม่ใช่แค่วันเกิดของผม แต่เป็นวันที่คนจำนวนมากจะนำขยะสวยๆ ไปลอยในแม่น้ำ ปล่อยให้มันล่องอยู่เช่นนั้นและตัวเขาก็จูงมือกันไปทำสิ่งอื่นๆ คือการที่ผมติดอยู่ในกระทงใบใหญ่มีล้อ ที่พัวพันกันอยู่ในสายน้ำแห่งยานยนต์ เนื่องจากข้างหน้ามีงานลอยกระทงประจำจังหวัด
            ผมเคยถามเพื่อนว่าไปลอยกระทงที่ไหน แทนที่มันจะเอ่ยชื่อสถานที่โรแมนติกมาสักหนึ่งหรือสอง มันกลับบอกว่าไร้สาระ และเป็นการสร้างขยะให้แม่น้ำ และยังสวดยาวว่าจุดประสงค์แท้จริงของการลอยกระทงคือขอบคุณพระแม่คงคา แต่สิ่งที่คนทำกันอยู่ก็แค่หาเรื่องออกจากบ้านตอนกลางคืนและจบด้วยการมีเซ็กส์
            กระทงใบล่าสุดของผมที่ได้ลอยอยู่บนแม่น้ำมืดดำนั้นคงเป็นเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว มีเหตุผลเดียวที่ผมจะไปลอยกระทงคือมีใครสักคนที่อยากให้เป็นเจ้าของกระทงร่วมกัน ในตอนนั้นผมมี แต่หลังจากนั้นก็ว่างเปล่า
            เคยได้ข่าวแว่วว่าวันลอยกระทงคือวันที่มีคนเสียตัวมากที่สุด ผมไม่เข้าใจ ไม่ใช่เรื่องที่ว่าทำไมจึงเป็น “เช่นนั้น” แต่ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องสงสัยว่ามันจึงเป็นเช่นนั้น เพราะมันควรเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ
            เพียงบรรยากาศดีๆ ยามค่ำคืน เหนือแสงเทียนบนแม่น้ำที่สะท้อนใบหน้าคู่รัก และจบลงด้วยการจูงมือสู่สวรรค์บนดิน มันไม่ควรผิดแปลก ความสุขเช่นนั้นสำหรับมนุษย์ที่ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางโลกผุๆ มันชอบธรรมมากพอที่พวกเขาควรจะได้รับบ้าง
            วันนี้คือวันเกิดผม
            ผมไม่น้อยใจหรอกที่ทุกคนมัวแต่สนใจกระทงและคนข้างๆ โดยไม่มีแม้แต่คำอวยพร และเพลงวันเกิดที่ผิดเพี้ยนเป็นเพลงลอยกระทงก็ฟังดูสนุกสนานดี อย่างน้อยหากการจุดเทียนคือสัญลักษณ์ของการอวยพร หลังจากนี้ผมคงจะอายุเป็นแสนปีจากเทียนที่พวกเขาปักลงบนเค้กที่ทำจากต้นกล้วยและใบตอง
            น่าเสียดายที่คนเขียนเรื่องนี้ไม่มีจินตนาการเท่าไร หากเป็นผม คงจะสร้างให้ตัวเองอยู่ใต้แม่น้ำเจ้าพระยาและอ้าปากเขมือบเค้กเหล่านั้นให้หายไปกับกระแสน้ำ ดิ่งลงสู่ความมืดมิดเบื้องล่าง เพื่อหลังจากงานลอยกระทงเลิกทุกคนจะได้กลับไปและไม่หลงเหลือความสกปรกโสมมทิ้งไว้ในแม่น้ำอีก
            หลังจากนั้นผมจะหลับไปด้วยความสงบเพียงลำพัง


28/11/55
วันเพ็ญเดือนสิบสอง

วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ซอมบี้ที่ปรากฏตัวในวันศุกร์


            คนเมืองรักวันศุกร์ แต่ไม่ได้หมายถึงทั้งวันของวันศุกร์ พวกเขาแค่รู้สึกปรีดากับเสียงของเวลาใกล้เลิกงานในเย็นวันนั้น บรรยากาศช่วงเช้านั้นหนืดเนือย และง่วงซึม ร่างไร้วิญญาณหลายร่างลากตัวเดินทางไปออฟฟิศและเปลี่ยนเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตชีวาอีกครั้งเมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ก่อนจะสลายไปและโผล่ขึ้นจากเตียงด้วยท่าทางซังกะตายเหมือนซอมบี้ผุดจากหลุมศพในเช้าวันจันทร์
            ผมยกแขนขึ้นทั้งซ้ายและขวาทีละข้าง ตรวจตราเสื้อผ้าอาภรณ์สำหรับวันนี้ พลางนึกหงุดหงิดเสื้อเชิร์ตสีน้ำเงินที่ค่อนข้างหลวม ไม่เข้ารูป ปกติผมจะไม่หยิบมันออกมาจากไม้แขวนหากไม่จำเป็น เพียงแต่มันเป็นเสื้อแบบสุภาพเพียงตัวเดียวที่มีซึ่งใช้ใส่เข้าการประชุมได้อย่างไม่น่าเกลียดนัก ผมรู้สึกมึนเวียนที่เบื้องหน้ากะโหลก  ความง่วงในช่วงเช้าเป็นโรคกำเริบมาตลอดตั้งแต่ชีวิตเริ่มมีภาระให้ตื่นสายไม่ได้ นั่นหมายถึงตั้งแต่เข้าโรงเรียนประถม หรืออาจจะอนุบาลก็ได้
            รถไฟฟ้าแล่นตามรางมาอย่างกระฉับกระเฉง ตรงข้ามกับสภาพผู้โดยสารที่ยืนรอ มันไม่เคยขี้เกียจไม่ว่าวันนั้นจะเป็นวันอะไร ก่อนบานประตูเบื้องหน้าจะเปิด ผมพยายามส่องดูทรงผมและใบหน้ากับกระจกบนบานประตูที่สะท้อนเพียงเงาสลัวๆ เพื่อเพิ่มความไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นทรงผมชี้ตั้งไม่เป็นทิศทาง
            โชคดี... ไม่สิ ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ผู้โดยสารในช่วงนี้ไม่เยอะถึงขนาดเบียดเสียด เพราะกว่าที่ผมจะออกจากบ้านก็เลยแปดโมงครึ่งไปแล้ว พ้นช่วงเวลาเร่งด่วนไปพอควร หากเป็นช่วงเจ็ดถึงแปดโมงนั่นหมายถึงผมต้องพยายามแทรกตัว สูดดมกลิ่นน้ำปรุงน้ำหอมของซอมบี้ตัวอื่นๆ เข้าไปในตู้ขบวนรถไฟฟ้า เพื่อให้มันดูล้นปริราวกับจะระเบิดออก เป็นความน่าขยะแขยงของชีวิตในเมืองที่ทุกคนเต็มใจ
            ที่ว่างยังเหลือเฟือ ผมเลือกนั่งที่ชิดริมเพื่อเอียงหัวพิงกระจกพลาสติกใสแล้วงีบไประหว่างทาง แต่เครื่องปรับอากาศในรถไฟฟ้าก็หนาวเป็นพิเศษ และจงใจเป่าลงมาตรงกระหม่อมพอดีราวกับผมได้สั่งเจ้าหน้าที่เอาไว้ มันหนาวยะเยือกจนหลับไม่ลง แต่อย่างน้อยการหลับตาเฉยๆ ก็น่าจะช่วยให้สดชื่นขึ้นได้บ้าง
            รถแล่นผ่านไปทีละสถานีตั้งแต่ต้นทาง ผมหรี่ตาขึ้นมาบ้างบางครั้ง วิวนอกรถไฟฟ้าผ่านฉิวไปอย่างรวดเร็ว ผู้โดยสารเพิ่มจำนวนมากขึ้น ที่นั่งเต็ม ที่เหลือเกาะจับราว ห่วง เสา ระหว่างเดินทาง ตามที่โอเปอร์เรเตอร์มักจะประกาศเตือนอย่างอัตโนมัติ หญิงวัยออฟฟิศยืนอยู่เบื้องหน้าสองสามคน ผมรู้สึกถึงความผิดในฐานะเพศชายขึ้นมาอย่างประหลาด แต่ด้วยความงัวเงียที่ไม่ส่งเสริมให้ทำตัวเป็นคนดี ผมทนนั่งตากแอร์เย็นเยือกต่อ ถัดเลยไปสองถึงสามเมตร หญิงชราก้าวเข้ามา ทอมบอยคนหนึ่งลุกให้นั่งอย่างชาตรี ผมทำปฏิกิริยาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วหลับตาลงไปด้วยความหนาวและหดหู่

            แดดหน้าหนาวที่นอกจากไม่ช่วยให้อุณหภูมิควรจะเป็นอย่างหน้าหนาวแล้ว ยังช่วยให้ผมแสบตา และผุดเหงื่อขึ้นมาทั่วร่างราวกับชาวสวนจนๆ ในชุดมอซอที่ทำงานกร้านแดด ต่างตรงที่ผมไม่ได้อึดและอดทนอย่างชวนสวนจริงๆ ผมลากสังขารที่ร่วงโรยเพราะถูกแดดเผาไปยังพาหนะเดิม เวลาเที่ยงครึ่ง กับธุระสำคัญที่อยู่ห่างออกไป 7 สถานีทำให้ผมต้องเข้าเซเว่นอีเลเว่นแทนการนั่งรออาหารตามสั่ง ผมเก็บเสบียงใส่กระเป๋าสะพายข้าง ความร้อนเหนียวเหนอะภายในกางเกงขายาวทรงรัดที่จำเป็นต้องใส่เพื่อให้ดูอินเทรนด์กำลังเล่นงานความรู้สึก เหงื่อและความมันผุดเต็มใบหน้า ทรงผมที่อุตส่าห์เข้าห้องน้ำไปจัดแต่งให้ดูดีขึ้น ตอนนี้ก็กลับมายุ่งเหยิงไม่เป็นทรงอีก ผมลูบมือที่เหนือริมฝีปากสัมผัสกับตอหนวดที่ยังไม่ยาว และไม่สั้นพลางรู้สึกรำคาญเสียจนอยากซื้อที่โกนหนวดมาโกนทันที
            แอร์ในรถไฟฟ้าช่วยผ่อนคลายความร้อนทั้งอารมณ์และร่างกายได้บ้าง มันเป็นช่วงพักกลางวันที่พนักงานบริษัทควรจะทานอาหารที่ร้านใกล้ๆ ออฟฟิศ แต่พวกเขากลับมารวมตัวกันอยู่ในพาหนะยืดยาวคล้ายงูนี้ “อะไรหนักหนา” ผมคิด และมองไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยืนเบียดเกาะกลุ่ม พูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน อย่างหงุดหงิด เด็กน้อยตาน้ำข้าวคนหนึ่งร้องไห้ออกมาโดยไม่มีสาเหตุ หรืออาจจะมี แต่ผมก็ไม่ใคร่อยากรู้ หากแค่อยากอ้อนวอนให้ช่วยหยุด ก่อนที่แก้วหูผมจะสั่นจนสติแตก
            ถึงสถานีที่หมายในเวลาเกือบบ่ายโมงตรง อาคารนั้นอยู่ห่างไปราวๆ 10 – 15 นาทีหากเดิน ผมเลือกใช้บริการวินมอเตอร์ไซค์ และเหมือนจะคิดถูก หนุ่มวินพาผมมาถึงที่นั่นในเวลาไม่เกิน 2 นาที เป็นระยะทางที่มีค่าใช้จ่ายไม่ควรเกิน 7 บาท จากประสบการณ์ที่เคยผ่านมา
            “20 บาท”
            เขาพูดอย่างหน้าตาเฉยพร้อมชูสองนิ้วเพื่อย้ำเตือนให้ผมแน่ใจถึงราคา “บัดซบ” ผมคิด แต่ไม่ได้พูด และควักแบงก์ 20 ยัดใส่มือเขาไปอย่างจำยอม
            เสร็จธุระแล้ว เป็นเวลาประมาณบ่ายสองโมงครึ่ง ผมดูเวลาจากโทรศัพท์มือถือรุ่นที่นอกจากโทรออกและส่งข้อความได้อย่างไม่ติดขัดแล้วก็ทำประโยชน์อื่นๆ ไม่ได้อีก ผมไม่เคยใส่นาฬิกาข้อมือ แม้จะมีคนซื้อให้อยู่หลายครั้งก็ตาม ผมอาจจะรำคาญ หรือไม่ก็กลัวใครตัดข้อมือไปเพราะอยากได้นาฬิกา
            ผมจ้ำออกจากอาคารอย่างเร็วที่สุดโดยไม่ต้องวิ่ง หยิบเสบียงที่ได้จากเซเว่นอีเลเว่น แกะและยัดลวกๆ เข้าไปในปาก เดินผ่านวินมอเตอร์ไซค์แห่งหนึ่งโดยไม่คิดแม้แต่จะชำเลืองมอง แดดยามบ่ายนั้นสูสีกับเวลาตอนเที่ยงตรง เหมือนหอกนับพันที่ดิ่งมาแทงร่างผมจนพรุน เหงื่อกาฬที่ซึมออกมาก็เป็นราวเลือดที่ซึมจากแผลฉกรรจ์นัก
            ประมาณ 8 นาทีในการเดินเท้าถึงสถานีรถไฟฟ้า เป็นสถิติที่ค่อนข้างดี แต่นั่นไม่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเท่าไรนัก เมื่อตามหลักการแล้วผมควรจะมีเวลาพักหนึ่งชั่วโมง และเข้าออฟฟิศภายในบ่ายโมงครึ่ง ผมนึกถึงคำพูดของชาติ กอบจิตติ นักเขียนซีไรท์ จากหนังสือเล่มหนึ่งว่า “โลกนี้มีทั้งเรื่องที่เราควบคุมได้ และควบคุมไม่ได้” รวมถึงคำตบท้ายแสนกินใจ  “ช่างแม่งเหอะ แดกเหล้าต่อดีกว่า”
            ผมจึง “ช่างแม่ง” แต่ก็ไม่ได้หาสุรามาเสพต่อแต่อย่างไร
            ผมลากตัวเองในเสื้อเชิร์ตเชยๆ ที่เริ่มชุ่มเหงื่อ ก้าวขึ้นบันไดอย่างทรมาน ความเมื่อยล้าสาหัสเข้าสุมรุม ถึงชานชาลาผมลดความเร็วในการเดินลง หอบเล็กน้อย และใช้ปากดูดลมหายใจเข้ายาวๆ พลางเหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง
            รู้ตัวอีกครั้งเมื่อมายืนข้างเธอ สาวน้อยผิวขาวใส และเรียบเนียนชนิดที่ผมไม่อาจสังเกตเห็นริ้วรอยใดๆ หากไม่จ้องหน้าเข้าไปใกล้ ผมของเธอค่อนข้างสั้นถูกมัดรวมอยู่ที่ท้ายทอย ทำให้มันชี้ตั้งออกมาแทนที่จะตกลงเป็นหางม้า แว่นกันแดดนั่นสวยและทันสมัย เข้ากับใบหน้าขาวนวลได้ดี เธอยังเด็ก แต่ก็โตพอที่จะมีความรักจริงจังกับใครสักคน
            เธอไม่แยแส หรือคิดจะรู้สึกตัวว่าถูกจ้องมอง ยังคงเหม่อไปเบื้องหน้าผ่านแว่นกันแดดเลนส์ดำ ฟังเพลงจากสายหูฟังที่ต่อจากเครื่องเล่นเอ็มพีสาม ผมแปลกใจที่มันไม่ใช่อุปกรณ์ซึ่งมีตราสัญลักษณ์เป็นผลไม้แหว่งๆ แบบสมัยนิยม
            ผมพยายามมองเข้าไปในแว่นกันแดดเผื่อจะเห็นได้รางๆ ว่าดวงตาของเธอเป็นแบบไหน กลมโต หมวยเกี๊ยะ หรือโฉบเฉี่ยว แต่กลับเห็นสิ่งอื่น โหนกแก้มขวาใต้ดวงตาของเธอปรากฏรอยประหลาดสีม่วงปนเขียวจางๆ ราวกับว่าเธอขาวและผิวบางจนเห็นเส้นเลือดภายในได้ชัดกว่าคนอื่น มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ใบหน้าของเธอมีตำหนิ บางทีการที่เธอสวมแว่นกันแดดอาจเพื่อบดบังมัน ซึ่งเธอคิดว่าไม่ใช่สิ่งที่เหมาะจะอยู่บนใบหน้า หรือไม่ก็เป็นเพราะแดดวันนี้ร้อนเกินไปเท่านั้นเอง
            ผมแกล้งละสายตาจากเธอลงบ้างเมื่อรู้สึกตัวว่ามองเธอนานเกินไป แม้ไม่มีแนวโน้มสักนิดที่เธอจะหันมา ท่าทาง บุคลิก และรัศมีประกายนั้นชวนเสน่หาอย่างบอกไม่ถูก ผมพยายามเดาว่าเธอเป็นคนยังไง อายุเท่าไร กำลังจะไปไหน
            ผู้คนเริ่มหนาแน่นบริเวณชานชาลา เมื่อรถไฟฟ้ามาถึง ผมและเธอก้าวเข้าไปตามกระแสเชี่ยวของฝูงชน “บังเอิญ”  ที่ผมยืนอยู่ข้างหลังเธอ และความแออัดของผู้โดยสารทำให้ระยะห่างของเราเหลือเพียงน้อยนิด เธอสูงราวๆ คางของผม เส้นผมชี้ตั้งจากการรวบมัดนั้นแกว่งไปมาและบางครั้งปลิวเข้าที่ใบหน้า ผมปล่อยให้มันรำคาญโดยไม่ปริปากบ่น เธอหยิบอุปกรณ์เล่นเอ็มพีสามสีแดงเครื่องจิ๋วขึ้นมาแล้วใช้นิ้วสัมผัสจอเพื่อเปลี่ยนเพลง ผมพบว่าเป็นรายชื่อเพลงภาษาอังกฤษที่ผมไม่คุ้นเคย
            จู่ๆ ผมก็รู้สึกสมเพชอะไรบางอย่างขึ้นมา เมื่อแลดูสภาพซอมซ่อของตัวเอง ผมไม่เคยมีเซ็นส์เรื่องการแต่งตัว แม้จะใส่เสื้อเชิร์ตติดกระดุมอย่างเรียบร้อยและกางเกงขาเดฟกับรองเท้าผ้าใบมีราคา ก็ยังไม่ทำให้ผมคิดว่ามันดูดี ดูเธอสิ! เสื้อยืดสีเทาและกางเกงผ้ายีนขาสั้นที่ทำให้เห็นเรียวขาขาวเนียน แค่นั้นเธอก็ดูดีมากพอที่จะทำให้ผู้ชายหันมอง ผมจินตนาการใบหน้าโทรมเหงื่อของผมตอนนี้ มันคงไม่สร้างความประทับใจแรกพบให้ได้มากเท่าไร ผมอยากกลับบ้านไปอาบน้ำ โกนหนวด แต่งผม สวมเสื้อยืดเท่ๆ และออกมาเริ่มต้นใหม่
            ความเหนียวเหนอะตามตัวทำให้หมดความมั่นใจ ผมลองพิสูจน์กลิ่นตัวเองว่าน่าประทับใจแค่ไหน แต่ผมไม่เคยได้กลิ่นตัวเอง และไม่เคยมีคนบอกว่าผมมีกลิ่นตัวที่ชวนคิ้วขมวด อย่างน้อยมันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับวันนี้ ผมละจมูกจากใต้วงแขนตัวเอง ได้กลิ่นหอมจากอะไรบางอย่าง เส้นผมของเธอ หรืออาจจะต้นคอ...  ความใกล้นี้มันส่งผลรุนแรงถึงขนาดว่าผมสามารถขาดสติกัดต้นคอเธอได้ทันทีถ้าผมเป็นแดร็กคูล่า
            รถไฟฟ้าวิ่งไปตามหน้าที่ของมัน เธอยังจมดิ่งในโลกส่วนตัวกับบทเพลงต่างประเทศที่ผมไม่รู้จัก “ความเป็นไปได้ในการทำความรู้จักกับคนแปลกหน้าอย่างประทับใจ” นั่นคือหัวข้อวิจัยที่ผมกำลังดำเนินการอยู่ภายในสมอง แต่ไม่มีความคิดไหนที่เข้าท่าเอาเสียเลย
            ใกล้สถานีเป้าหมายมากขึ้นทุกที ยังไม่มีอะไรคืบหน้า นอกเสียจากความคิดฟุ้งซ่านของผมเอง หากเราลงสถานีเดียวกัน ผมจะมองเธอจากระยะที่เหมาะสมกว่านี้ บางทีความใกล้ที่มากเกินไปก็ไม่ทำให้เรามองเห็น หรือทำอะไรได้ชัดเจนนัก
            เธอลงก่อนผมหนึ่งสถานี ผมมองตามหลังจนเธอลับตาไป โดยไม่ได้สบตาแม้แต่ครั้งเดียว

            ภาพเบื้องหน้าคือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนรวมอัดกันอยู่ในรถไฟฟ้า ส่วนที่อยู่ด้านนอกก็พยายามยัดตัวเองเข้าไปประหนึ่งเอาเท้าเหยียบลงในถังขยะที่แน่นด้วยปฏิกูลเพื่อใส่สิ่งเหล่านั้นเข้าไปให้หมด จนเจ้าหน้าที่ต้องออกปากบอกให้รอขบวนถัดไป พวกเขาจึงยอม
            ถัดจากนั้นประมาณ 7-8 นาที ผมก็กลายเป็นหนึ่งในสิ่งปฏิกูลเหล่านั้นเมื่อสำนึกในความอยู่รอดทำงาน แต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักเพราะแรงดันจากด้านหลังช่วยส่งเสริมให้ผมเข้าไปได้โดยอัตโนมัติ ผมพยายามหาที่ยึดจับ เขย่งปลายเท้าหาอากาศด้านบน ประสาทสัมผัสเกือบทั้งหมดถูกบดขยี้ หากผมเป็นตัวละครในหนังซอมบี้สักเรื่อง ผมจะถอดสลักระเบิดแล้วถล่มผีดิบทั้งขบวนนี้ให้เละไปพร้อมกับตัวเองซะ
            ชายแก่ที่แทบไม่เหลือเส้นผมบนกระหม่อมแล้วเบียดตัวอยู่เบื้องหน้า ศีรษะของเขาและจมูกของผมอยู่ในระดับเดียวกันอย่างเหมาะเจาะ ผมอาจจะอาเจียนรดหัวเขาไปเพื่อเป็นการแก้แค้น แต่นั่นจะทำให้สถานการณ์ยุ่งยากมากขึ้นไปอีก ผมจึงทนรับกลิ่นอันขมขื่นและชวนคลื่นไส้ต่อไป ผมนึกถึงกลิ่นหอมเมื่อตอนกลางวัน หากนั่นคือสวรรค์ก็คงไม่ต้องถามอีกว่าสิ่งนี้คืออเวจีขุมไหน
            “จะถึงแล้วๆ”
            ใครบางคนโพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังรู้ว่าเขาดีใจแค่ไหนที่ถึงจุดหมาย และจะพ้นจากการถูกทรมานราวกับพวกยิวที่ถูกขนขึ้นรถไฟไปลงค่ายกักกันอันแสนเหี้ยมโหด
            ผมนั่งรถเมล์ต่อจนถึงบ้านในอีก 30 นาที ระหว่างทางผมสัปหงกอย่างเหนื่อยอ่อนจนกระเป๋ารถเมล์ต้องปลุกเมื่อสุดสาย ดีว่ามันคือป้ายที่ผมต้องลงพอดี
            เมื่อถึงบ้าน ผมถอดเสื้อเชิร์ตอับเหงื่อออก ใช้มันแทนผ้าเช็ดความสกปรกที่ชื้นแฉะตามร่างกาย หยิบพาดผ้าเช็ดตัวไว้บนบ่า เดินผ่านกระจกเงาหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ผมหยุดมองหน้าสิ่งมีชีวิตในกระจก เห็นผีดิบตัวหนึ่งซึ่งมีใบหน้าซูบโทรมเหงื่อ นัยน์ตาเลื่อนลอยและขอบตาคล้ำมืดราวหุบเหวลึก
            ผมส่องกระจกบานเดิมอีกครั้งเมื่ออาบน้ำเสร็จ ผีดิบตัวเดิมไม่ได้เปลี่ยนเป็นมนุษย์ หากแต่มันดูสะอาดสะอ้านมากขึ้น ผมทิ้งตัวลงบนที่นอนที่ดูอ่อนนุ่มกว่าทุกวัน ห่มผ้า และนึกถึงใบหน้าของเธอ แต่ดูเหมือนผมจะลืมไปแล้ว และในวันรุ่งขึ้นผมก็รู้ว่าเมื่อคืนหลับลึกจนไม่ได้ฝันถึงอะไรเลย ไม่ว่าจะกลิ่นของเธอ หรือกลิ่นหัวล้านของตาแก่นั่น แต่ผมก็ไม่ได้แยแสอะไรมากนัก คิดเพียงว่าจะใช้เวลากับวันหยุดที่มีให้คุ้มค่า แล้วค่อยลากตัวขึ้นจากหลุมศพเพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้าอีกครั้งในวันจันทร์
            ร่วมกับผีดิบตัวอื่นๆ

คาเมะคุง
28 ต.ค.55 คืนก่อนที่วันจันทร์จะมาถึง