-->
ผู้อ่านคือลมหายใจของนักเขียน

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บันทึกประจำวันของสิ่งหนึ่ง : การรักษาความลับ


            การเริ่มต้นอยากสำหรับผมเสมอ ไม่ว่าเรื่องอะไร
            แม้แต่จะพิมพ์บางอย่างที่ไม่มีคุณค่าสาระอะไรลงในคอมพิวเตอร์ก็ยังยาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องละเอียดอ่อนอื่นๆ
            แต่อย่างไรเช้าวันนี้ของผมก็เริ่มต้นด้วยดี หลังฝนฟ้าคะนองของเช้าเมื่อวานสลายไป พระเจ้าให้ไอเย็นแก่เราเป็นของตอบแทนในช่วงรุ่งสาง ผมออกจากบ้าน และขึ้นรถเมล์เช่นทุกวัน หญิงสาวคนหนึ่งในชุดพนักงานออฟฟิศก้าวขึ้นมา เธอใส่เสื้อเชิร์ทลายดอกไม้และกระโปรงสีกรมท่า ผมระลึกได้ว่าเราเคยเจอกัน ทั้งในช่วงสั้นๆ ก่อนหน้านี้ และช่วงยาวๆ ก่อนหน้านี้ เธอเป็นรุ่นพี่โรงเรียนมัธยมของผม แต่ผมไม่รู้จักเธอ และเธอก็ไม่น่าจะรู้จักผม หรืออาจจะรู้ แต่จำไม่ได้ หรืออาจจะจำได้ก็ตาม อย่างไรผมก็จำเธอได้ ผมเป็นพวกที่จดจำใบหน้าคนได้ค่อนข้างแม่นยำ แม้แต่เพื่อนตอนประถมที่ไม่เจอกันกว่าสิบปี แค่สบตา สำรวจคิ้วและคางก็พอระลึกได้ว่าเขาเป็นใคร แม้รูปร่างหน้าตาจะผันแปรไปตามกงล้อของกาลเวลาก็ตาม
            ผมไม่ได้สนใจเธอ และเธอก็ไม่ได้สนใจผม ในรถเมล์แคบๆ คันหนึ่งจะมีอะไรสำคัญไปกว่าการแย่งชิงที่นั่งเพื่อหลับใน และคาดหวังให้ถึงที่หมายเร็วๆ
            ผมถึงออฟฟิศก่อนเวลากำหนดอยู่พอสมควร ทักทายญาติผู้ใหญ่ด้วยมารยาทที่จำเป็น และนั่งลงบนโต๊ะตัวเดิม อู้งานก่อนสักสิบถึงสิบห้านาทีก่อนจะเริ่มอย่างจริงจัง
            ผมง่วงเสมอในตอนเช้า และตอนบ่าย ไม่ว่าคืนนั้นผมจะนอนแต่หัวค่ำ หรือโต้รุ่ง ผมลุกไปเข้าห้องน้ำบ้างเพื่อคลายความงัวเงีย อย่างไรวันนี้ก็เป็นวันสงบสุขที่เริ่มต้นด้วยอากาศเย็นสบายและปลอดโปร่ง
            แล้วความสงบในจิตใจก็มลายเมื่อผมพบว่ากางเกงขายาวของผมมีปัญหาบริเวณซิป ทั้งสองฝั่งซึ่งเชื่อมสัมพันธ์ด้วยตัวรูดกลับไม่สมานกันอีกต่อไป ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้ว่านอกจากคนรักกันสองคนแยกจากกันแล้ว มีบางสิ่งที่เจ็บปวดกว่าเมื่อมันต้องแยกออกจากกัน และคนที่เจ็บปวดนั่นก็คือผมที่จะต้องดำรงอยู่ภายใต้ความหวาดระแวงตรงกลางไปจนเลิกงาน
            โชคดีในโชคร้าย คำนี้มีอยู่จริง เชิ้ตที่ผมยืมเพื่อนมาและไม่ได้เอาไปคืนที่ห่อหุ้มร่างอยู่นั้น ชายเสื้อยาวพอที่จะซ่อนความน่าอับอายนั้นไว้ได้ ผมคิดว่าเป็นโชคดีเหลือเกินที่ผมรู้ตัวก่อนจะสาย แม้ว่าขณะนั้นจะเป็นเวลาสายแล้วก็ตาม แต่ทบทวนอีกครั้งหนึ่ง หากผมไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่งถอดกางเกงโยนลงตะกร้าผ้าตอนกลับบ้านแล้ว อะไรจะดีกว่ากัน แต่อย่างน้อยในเคสนี้ผมก็ไม่ต้องสงสัยว่าคนที่ผ่านไปมาและจ้องมองที่ผมนั้นเพราะอะไร
            มันไม่ลำบากเท่าไรที่จะปกปิดความลับซึ่งมีเพียงผมคนเดียวในโลกที่รู้ ความลับมีในโลก ผมเชื่อแบบนั้น แต่มันจะเป็นความลับก็ต่อเมื่อมีคนคนเดียวที่ล่วงรู้ หากเอาไปกระซิบหูใครสักคนแล้วบอกว่า นี่เป็นความลับ ก็รับรองได้เลยว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมนิยามว่าความลับอีกต่อไป
            จู่ๆ ผมก็ฉุกคิดว่าการไม่รูดซิปมันเป็นเรื่องน่าอายแค่ไหน ทั้งๆ ที่หากมันเปิดอ้าออก สิ่งที่คนอื่นเห็นก็แค่เนื้อผ้าของกางเกงบ็อกเซอร์ แต่ก็นั่นแล่ะ เวลามีใครสักคนลืมรูดซิป พวกเขาต่างก็มองว่าเป็นการเผยสิ่งเร้นลับแสนอุบาทว์ เขาจะจินตนาการว่ามีบางอย่างที่ไม่ควรออกสู่โลกภายนอกกำลังกระโจนออกมาจากช่องว่างนั้นและหลอนลูกตาพวกเขา
            อย่างไรก็ตาม ผมทำได้ดี ไม่มีใครรู้ว่าผมเก็บซ่อนอะไรไว้ ผม อาโรญจน์ นบบดี ยังคงเก่งในเรื่องที่ต้องทำด้วยตัวคนเดียวเสมอ ไม่มีใครสักคนวันนี้ที่สะกิดไหล่แล้วพูดว่า “อาโรญจน์ ทำไมคุณถึงชอบเอามือไปไว้ตรงนั้นเสมอล่ะ มันเสียบุคลิกนะ” ไม่มีสักคน
            ก่อนกลับบ้านผมสำรวจในกระจกอีกครั้งว่าท่วงท่าไหนที่จะไม่เผยมันออกมา แล้วผมก็รอเวลาดีดตัวกลับบ้านอย่างรวดเร็ว โดยไม่แคร์ว่าคนอื่นๆ จะยังนั่งรากงอกอยู่ที่เก้าอี้ของพวกเขา การต้องทนอยู่ในกางเกงที่รูดซิปไม่ได้นั้นทรมานกว่าการบากหน้าเดินดุ่มๆ ไปยังประตูทางออกท่ามกลางพนักงานคนอื่นที่ตั้งใจทำงานเป็นไหนๆ
            ในที่สุดผมก็ถึงรถไฟฟ้า และแทรกตัวอัดเข้าไปอย่างดันทุรัง ถอนหายใจยาวก่อนจะลุกลี้ลุกลนอีกครั้ง
            ผมขึ้นรถไฟฟ้าผิดฝั่ง
            แต่ก็เป็นเรื่องโชคดีในโชคร้ายอีกเช่นกันที่รถไฟฟ้านั้นสามารถลงจากสถานีและเดินขึ้นไปอีกฝั่งหนึ่งได้โดยไม่เสียเงินแม้แต่สลึงเดียว สิ่งที่ผมเสียไปก็แค่เวลานิดหน่อย กับความรู้สึกที่คิดว่าตนเองเป็นคนฉลาดอีกเล็กน้อยเท่านั้น
            จากรถไฟฟ้า สู่รถเมล์ เหมือนสูงสุดสู่สามัญ และพรุ่งนี้ก็จะเริ่มจากสามัญ ไปสูงสุดอีก ชีวิตเป็นเช่นนั้น ผมนั่งลงและเอาชายเสื้อปิดที่หน้าขาให้แนบเนียนที่สุด สายตาสะดุดกับบางอย่างเบื้องหน้า ด้านหลังของเสื้อเชิ้ตลายดอกไม้ เพียงแค่นั้นผมก็รู้ว่าเธอคือรุ่นพี่โรงเรียนมัธยมคนเดิมที่ผมเจอในรถเมล์คันเดียวกันตอนเช้า
            มันอาจไม่ใช่เรื่องแปลกหากคนสองคนที่มีตารางเวลาชีวิตใกล้กันจะพบกันบนเส้นทางในแต่ละวัน แม้แต่อยู่ในรถเมล์คันเดียวกันทั้งรอบเช้าและเย็น แต่น่าเจ็บใจเสมอที่คนบางคน เรากลับได้พบเขาเพียงครั้งเดียว ครั้งเดียวเท่านั้นจริงๆ แม้ปรารถนาพระเจ้าให้ขีดเส้นทางชีวิตของเราและเขาพาดกันอีกครั้ง แต่พระเจ้าก็ปฏิเสธเรา และยัดเยียดความบังเอิญประหลาดอื่นๆ ที่เราไม่เคยต้องการให้เป็นสิ่งทดแทน ไม่ว่าจะซิปแตก ขึ้นรถไฟฟ้าผิดฝั่ง หรือเจอใครบางคนที่แค่เคยเห็นหน้าถึงสองครั้งในวันเดียว
            เอาเถอะ อย่างน้อยวันนี้ผมก็เริ่มต้นได้ดี แม้หลังจากนั้นมันจะบังเอิญผิดเพี้ยนไปบ้าง
            พระเจ้าคงไม่มีจริง


29/11/55
วันที่เริ่มต้นได้ดี

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บันทึกประจำวันของสิ่งหนึ่ง : วันเกิด


                วันนี้คือวันเกิดของผม
            ไม่ต้องสงสัยอะไรให้มากความ วันเกิดก็คือวันเกิด เรื่องมันมีแค่ว่าโลกใบนี้ รวมถึงเอกภพก้อนนี้มันไม่เคยมีผมอยู่ แล้วจู่ๆ วันหนึ่งมันก็เกิดมีผมขึ้นมา โดยที่ไม่รู้ว่ามันอยากจะมีหรือไม่
            “ผม” ที่ว่าก็คือตัวผม ผมมีตัวตน คือผมที่มีวันเกิดคือวันนี้ ไม่ใช่ไอ้หน้าโง่คนไหนที่เสกสรรปั้นเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ไม่แน่หรอก ผมอาจจะโง่กว่าเขาก็ได้ ก็เขาเป็นคนสร้างผมขึ้นมา เขาอาจจะให้ผมฉลาดเป็นกรด หรืออาจโง่กว่าแมลงสาบที่แม้รู้ว่าเวลาเจอหน้ากับมนุษย์ที่รังเกียจทุกอย่างยกเว้นตัวเองแล้วมันจะต้องเสพยาฆ่าแมลงเข้าไปและนอนหงายท้อง ก็ยังดักดานที่จะเสือกร่างผ่านท่อระบายน้ำขึ้นมาเดินดุกดิกบนพื้นกระเบื้อง มันเป็นลิขิตของเขา แต่ผมเชื่อว่าการที่เขาลิขิตตัวตนผมขึ้นมาไม่ใช่โชคดีของเขาเท่าไร
            อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเขาจะมีความรับผิดชอบแบบลวงๆ อยู่บ้าง ที่ได้อุตริตั้งชื่อให้ผมว่า “อาโรญจน์ นบบดี” โปรดเถอะ อย่าได้ถามว่ามันหมายความว่าอะไร มีแต่คนเพี้ยนเท่านั้นที่เข้าใจความคิดของตัวเอง และแน่นอน ผมไม่อาจรู้ว่ามีอะไรบ้างที่ลอยและจมอยู่ในของเหลวสีชมพูซึ่งบรรจุอยู่ในกะโหลกบางๆ ของเขา ในขณะที่เขาอาจจะรู้ทุกเรื่องของผม ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่อนาคต และเขาก็ยังรู้เรื่องของตัวเองดีกว่าใครในโลก
            ถึงกระนั้นผมก็เชื่ออย่างหนักแน่นว่าผมมีความทรงจำและความรู้สึกของตัวเอง โดยไม่ต้องให้เขาคอยจัดสรรทางเดินทุกอย่าง ผมคิดว่าเขาเป็นแค่ชายเห็นแก่ตัวที่อยากเล่าสิ่งต่างๆ มากมายในมุมมองของตัวเอง แต่ไม่อยากเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครสักคนบนโลกฟัง เลยตกเป็นผมที่ต้องเกิดขึ้นมาในวันนี้ ผมมีหลายอย่าง และอาจเกือบทุกอย่างคล้ายเขา ผมชอบฟุตบอล ผมมีงานทำ ผมโดดเดี่ยวและมักสิ้นหวังในรัก เขาก็อาจเป็นเช่นนั้น แต่อย่างไรก็ยืนยันว่าผมไม่ใช่เขา และเขาก็ต้องไม่ใช่ผม ไม่มีอะไรพิสูจน์เรื่องนี้ได้
            เรื่องมันอาจเกิดขึ้นจากการที่แสงไฟบางดวงในวิญญาณของเขามอดลง เขาอ่านหนังสือมากมาย และอยากเล่าเรื่องหลายเรื่อง แต่เขาทำไม่สำเร็จ มี 4 ถึง 5 เรื่องในตอนนี้ที่ดักดานอยู่ในหน้ากระดาษแต่ไม่ถึงจุดสิ้นสุด  เขาคิดว่าการดำรงอยู่เช่นนั้นเป็นปัญหา เขาจึงอยากนั่งลงและพูดคุยกับตัวเองผ่านกระจก แต่สิ่งที่อยู่ในนั้นก็ไม่อาจโต้ตอบเขาได้ เขาจึงคิดว่าผมจะเป็นผู้รองรับทุกอย่างที่สกปรกของเขาได้ แต่ผมว่าเขาคิดผิด
            ผมชอบเขียนไม่ต่างจากเขา และผมก็เข้าใจความรู้สึกของการเขียนไม่ออก แม้ว่าปากกาจะยังเต็มล้นด้วยหมึก และหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ยังสว่างไสว มีนักเขียนหลายคนที่ฆ่าตัวตายเมื่อถึงเวลาหนึ่ง หนึ่งในนั้นทำไปเพราะเขาไม่สามารถเขียนอะไรได้อีก มันก็เหมือนกับการที่คุณรักฟุตบอลมากแต่คุณสูญเสียขาทั้งสองข้างนั่นไป มันไม่มากเกินควรเลยที่จะฆ่าตัวตายเพื่อสิ่งนั้น แต่อย่างไรโลกนี้ยังมีฟุตบอลอยู่ และขาทั้งสองของผมก็ยังไม่จากไปไหน ผมคงไม่ฆ่าตัวตายเพราะแค่ไม่สามารถเขียนอะไรที่ทำให้ตัวเองรู้สึกทะนงไปได้สองสามวันแค่นั้นหรอก แต่กับเขา ไม่รู้สิ เขาอาจจะทำก็ได้
            ผมจะเลิกถกเถียงกับตัวเองเรื่องข้อพิพาทระหว่างเขากับผม แล้วเริ่มต้นเล่าเรื่องราวในแต่ละวันแทน... ให้ใครฟังหรือ ไม่รู้หรอก อาจจะเขา คุณ หรือตัวผมเองก็ได้
            วันนี้เป็นวันเกิดของผม มันเริ่มต้นด้วยเช้าตรู่ที่มาพร้อมสายฝนร่วงหล่น ทำให้ผมต้องพกร่มออกจากบ้านในรอบหลายเดือน ความลื่นของถนนไม่ได้ทำให้วัตถุบนนั้นเคลื่อนที่ไปได้เร็วขึ้นเลย กลับกัน มันย่องอย่างระแวงราวกับจะก้าวเหยียบกักระเบิดที่พร้อมป่นร่างให้กระจุย ผมไม่เคยได้รับความรู้สึกแข่งกับเวลาเท่านี้มาก่อน การที่มาสายเกินเวลาไปเพียง 1 นาทีก็มีผลชี้เป็นชี้ตายได้มันช่างทำให้โลกของผมน่ารังเกียจยิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ต้องขอบคุณอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมทันเวลาแบบฉิวเฉียด
            ผมเริ่มงานที่นี่เป็นวันที่สาม ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเป็นพิเศษ ผมยังต้องอ่อนล้าในดวงตาเหมือนกับมนุษย์ออฟฟิศคนอื่นๆ และใช้เวลาพักกลางวันรอคิวจากร้านอาหารที่อัดแน่นด้วยผู้คน และกลับมานั่งที่เดิมเพื่อสัปหงกอยู่เป็นระยะ จนถึงเวลาเลิกงาน
            ปกติผมอยากจะรีบแจ้นออกจากออฟฟิศทันทีที่ถึงเวลา แต่พนักงานคนอื่นๆ ก็ห้ามผมด้วยการนั่งทำงานต่อไปโดยไม่มีใครเคลื่อนไหวสักคน ที่สุดผมก็ต้องรอประมาณ 10 นาที ก่อนจะลุกเป็นคนแรกและเดินอย่างเก้กังไปที่ประตู
            แต่วันนี้ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้ รุ่นพี่คนหนึ่งกำลังจะลาตำแหน่งในแผนก เชื่อว่าการที่เขารับผมเข้ามาคือเพื่อทดแทนตำแหน่งนั้น เขาและเจ้านายพาผมไปเลี้ยงอำลา และเป็นการต้อนรับผมซึ่งเป็นน้องใหม่ ผมได้กินอาหารราคาแพงด้วยราคาฟรีอีกครั้งหลังจากเจ้านายบริษัทเก่าเลี้ยงอำลาผมไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว บางทีผมอาจจะทำงานสักบริษัทละ 3 เดือนเพื่อจะได้มีอาหารมื้อใหญ่กินฟรี ทุกๆ ครั้งที่ออกจากงาน
            สิ่งที่เตือนผมว่าวันนี้ไม่ใช่แค่วันเกิดของผม แต่เป็นวันที่คนจำนวนมากจะนำขยะสวยๆ ไปลอยในแม่น้ำ ปล่อยให้มันล่องอยู่เช่นนั้นและตัวเขาก็จูงมือกันไปทำสิ่งอื่นๆ คือการที่ผมติดอยู่ในกระทงใบใหญ่มีล้อ ที่พัวพันกันอยู่ในสายน้ำแห่งยานยนต์ เนื่องจากข้างหน้ามีงานลอยกระทงประจำจังหวัด
            ผมเคยถามเพื่อนว่าไปลอยกระทงที่ไหน แทนที่มันจะเอ่ยชื่อสถานที่โรแมนติกมาสักหนึ่งหรือสอง มันกลับบอกว่าไร้สาระ และเป็นการสร้างขยะให้แม่น้ำ และยังสวดยาวว่าจุดประสงค์แท้จริงของการลอยกระทงคือขอบคุณพระแม่คงคา แต่สิ่งที่คนทำกันอยู่ก็แค่หาเรื่องออกจากบ้านตอนกลางคืนและจบด้วยการมีเซ็กส์
            กระทงใบล่าสุดของผมที่ได้ลอยอยู่บนแม่น้ำมืดดำนั้นคงเป็นเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว มีเหตุผลเดียวที่ผมจะไปลอยกระทงคือมีใครสักคนที่อยากให้เป็นเจ้าของกระทงร่วมกัน ในตอนนั้นผมมี แต่หลังจากนั้นก็ว่างเปล่า
            เคยได้ข่าวแว่วว่าวันลอยกระทงคือวันที่มีคนเสียตัวมากที่สุด ผมไม่เข้าใจ ไม่ใช่เรื่องที่ว่าทำไมจึงเป็น “เช่นนั้น” แต่ไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องสงสัยว่ามันจึงเป็นเช่นนั้น เพราะมันควรเป็นเช่นนั้นไม่ใช่หรือ
            เพียงบรรยากาศดีๆ ยามค่ำคืน เหนือแสงเทียนบนแม่น้ำที่สะท้อนใบหน้าคู่รัก และจบลงด้วยการจูงมือสู่สวรรค์บนดิน มันไม่ควรผิดแปลก ความสุขเช่นนั้นสำหรับมนุษย์ที่ต้องใช้ชีวิตท่ามกลางโลกผุๆ มันชอบธรรมมากพอที่พวกเขาควรจะได้รับบ้าง
            วันนี้คือวันเกิดผม
            ผมไม่น้อยใจหรอกที่ทุกคนมัวแต่สนใจกระทงและคนข้างๆ โดยไม่มีแม้แต่คำอวยพร และเพลงวันเกิดที่ผิดเพี้ยนเป็นเพลงลอยกระทงก็ฟังดูสนุกสนานดี อย่างน้อยหากการจุดเทียนคือสัญลักษณ์ของการอวยพร หลังจากนี้ผมคงจะอายุเป็นแสนปีจากเทียนที่พวกเขาปักลงบนเค้กที่ทำจากต้นกล้วยและใบตอง
            น่าเสียดายที่คนเขียนเรื่องนี้ไม่มีจินตนาการเท่าไร หากเป็นผม คงจะสร้างให้ตัวเองอยู่ใต้แม่น้ำเจ้าพระยาและอ้าปากเขมือบเค้กเหล่านั้นให้หายไปกับกระแสน้ำ ดิ่งลงสู่ความมืดมิดเบื้องล่าง เพื่อหลังจากงานลอยกระทงเลิกทุกคนจะได้กลับไปและไม่หลงเหลือความสกปรกโสมมทิ้งไว้ในแม่น้ำอีก
            หลังจากนั้นผมจะหลับไปด้วยความสงบเพียงลำพัง


28/11/55
วันเพ็ญเดือนสิบสอง