ได้ยินว่ามีงานชั่วคราวเกี่ยวกับหนังสือให้ทำก็ดีใจ
จนกระทั่งได้มานั่งเฝ้าแผงขายหนังสือนั่นแล่ะ ถึงรู้ว่างานเกี่ยวกับหนังสือไม่ได้แปลว่าการทำหนังสืออย่างเดียว
เรื่องเกิดจากสำนักพิมพ์เก่าแก่แห่งหนึ่งจัดงานฉลองครบรอบตามประเพณี
มีการออกบูธขายหนังสือจากหลายสำนัก รวมถึงนักเขียนที่มาบรรยายสรรพคุณหนังสือของตนบนเวที
แม้บ้านไกล แต่ด้วยเวลาว่างอันไร้ค่าขณะนั้นมันเสียดแทงจิตสำนึกในคุณค่าชีวิตเหลือเกิน
สุดท้ายปากก็ตอบตกลง
ณ บูธเล็กๆ
หลังโต๊ะทรงยาววางเรียงด้วยหนังสือหลากหลาย ชายหนุ่มสองคนนั่งหาวหวอด มองคนเดินผ่านไปมา
บ้างเหลือบมอง แล้วหันขวับเดินต่อ บ้างเข้ามาด้อมมอง เปิดผ่านๆ แล้ววาง ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าหนังสือที่ไม่มีภาพประกอบมากมาย
แต่อัดแน่นด้วยตัวอักษร การเปิดผ่านๆ
จะวิเคราะห์ความดีความเลวของหนังสือเล่มนั้นได้อย่างไร
แต่ผมทำประจำ
เช้ายันหัวค่ำ
เราทำยอดได้ไม่กี่เล่ม ไม่น่าแปลกใจ เพราะหนังสือแต่ละเล่มที่ผู้ว่าจ้างให้มานั่งเฝ้านั้น
ออกจะห่างไกลจากกระแสนิยม บ้างเป็นวารสารแก่ๆ รายงานประจำปีเก่าๆ รวมผลงานนักเขียนที่ทั้งเก่าและแก่
บางคนแก่จนเสียชีวิตไปแล้ว เหล่านี้คือหนังสือจากองค์กรผู้ว่าจ้าง
แต่เป็นเรื่องน่ายินดีที่ยังมีหนังสือใหม่ๆ ร่วมสมัยอยู่บ้าง เสียแค่ว่ามันหาได้ตามร้านหนังสือทั่วไป
พยายามเปลี่ยนความง่วงเป็นคึกคัก
ผมไล่ดูหนังสือแต่ละเล่ม น่าสนใจก็หยิบมาเปิดอ่าน บางเล่มเห็นแค่เนื้อนอกก็อยากครอบครอง
ขณะที่หลายเล่มแค่เห็นปกก็เบื่อแล้ว
หนึ่งในความเชยเหล่านั้น ปรากฏหนังสือเล่มหนึ่ง
จำชื่อได้ไม่ชัดนัก พราวแสงดาว พราวสีรุ้ง เรืองแสงดาว เรืองแสงรุ้ง
หรืออาจจะรุ้งเรืองแสง อืม... ช่างมันเถอะ
เอาเป็นว่าจะพราวเรืองหรือดาวเรืองก็ตาม
หนังสือเล่มนี้ออกแบบหน้าปกได้เชยบรรลัย ฟอนท์ชื่อหนังสือเรียบง่ายจนไม่อยากอ่าน และตัวเล่มค่อนข้างเก่า
ผมไม่แปลกใจที่มันยังวางกองอยู่ ไม่ได้รับโอกาสเคลื่อนย้ายไปทำหน้าที่กระจายสารสู่ผู้อ่าน
กลัวว่ามันจะน้อยใจที่ไม่มีใครเหลียว ผมหยิบมาพินิจ
“Don’t judge the
book by it’s cover”
เปล่า หนังสือไม่ได้เขียนไว้แบบนั้น
แต่มันเป็นประโยคที่แล่นเข้าในหัวเพียงแค่เปิดหน้าสารบัญ
หนังสือเล่มนี้เป็นรวมเรื่องสั้นเก่าจากนักเขียนชั้นครู
รงค์ วงษ์วรรค์, วาณิช จรุงกิจอนันต์, วินทร์ เลียววาริณ และนักเขียนระดับเซียนอีกหลายคน
สำหรับหนอนหนังสือและคอเรื่องสั้นแล้ว นี่คือขุมทรัพย์ดีๆ ชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว
อย่าตัดสินหนังสือจากปก
เป็นคำแนะนำที่ดี
แต่ในมุมกลับ เจ้าของ ผู้ผลิต
ต้องตระหนักว่าการตัดสินหนังสือจากปกนั้นสำคัญ
เพราะคนที่เชื่อในประโยคสอนใจท่อนนั้นมีไม่มาก
ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นแบบพราวดาวเรือง...
พราวสีดาว เอ่อ... หนังสือเล่มนั้นน่ะ
พบหน้าเพียงแวบเดียว ไม่มีทางที่จะล่วงรู้ภายในได้
ยิ่งคนที่ชอบทำเป็นเปิดหนังสือดูผ่านๆ โดยไม่ได้อ่านแม้ประโยคเดียว
ทั้งที่หนังสือนั้นไม่มีรูปภาพ
มีอยู่จริง อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่ง
แต่หากปกดี รูปเล่มเจ๋ง เปิดผ่านแล้วจัดหน้าสวยงาม
ชื่อหนังสือ คอนเซปต์น่าสนใจ แม้ไม่รู้ว่าเนื้อดีพิมพ์นิยมหรือไม่ ผมเชื่อว่ามีคนซื้อ อย่างน้อยก็... คุณหรือเปล่า
ส่วนด้านเนื้อหาจะประทับใจหรืออยากประทับตีนลงบนปก
ก็ไปลุ้นเอาที่บ้าน ไม่ว่าอย่างไร “ปก” ของมันทำหน้าที่ทางการตลาดได้สมบูรณ์
อ่านแล้วไม่ประทับใจ แต่ไม่ถึงขั้นอยากประทับตีน เก็บไว้ประดับชั้นหนังสือพองามได้
ส่วนหนังสือที่ดี แม้รูปนอกจะแย่อย่างไร ก็ยังควรค่าแก่ชั้นหนังสือ แต่หากเนื้อในดี
แล้วเนื้อนอกก็งามด้วย มันยิ่งน่ารัก
น่าหลงใหล
ดังนั้น “ปก” จึงสำคัญ
“ปก” ที่ดีจะนำพา “หนังสือ” ที่ดีไปสู่ผู้อ่านได้มากกว่า
ถ้าปกของมันสวย บางทีร้านอาหารอร่อยๆ
อาจมีลูกค้ามากขึ้น
ถ้าปกของเขาสวย บางทีคนขยัน ตั้งใจทำงาน อาจได้งานง่ายขึ้น
ถ้าปกของคุณสวย บางทีคนดีๆ อย่างคุณ (หรืออาจจะผม) อาจไม่ต้องอยู่เป็นโสดนานขนาดนี้
ศุ บุญเลี้ยง นักเขียน
นักร้องรุ่นใหญ่ที่หลายคนชื่นชอบบอกลูกศิษย์น้ำหมึกของเขาไว้ว่า
“อย่าตัดสินคนที่การแต่งกาย แต่จงแต่งกายให้ดูดีอยู่เสมอ”
ภายในสำคัญเป็นเรื่องสัจธรรม
แต่ภายนอกก็ไม่ควรละเลย มีสักกี่คนที่จะเปิดห่อผ้าขี้ริ้วเพื่อดูว่ามีทองอยู่ข้างในหรือเปล่า
ถ้ามีคนแบบนั้นมากพอ
หนังสือบนโต๊ะนี้คงขายได้หลายเล่ม
จบการขายสามวัน เราทำยอดขายได้น้อยนิด
แต่ค่าแรงไม่ได้ขึ้นกับยอดขาย นายจ้างเดินทางมาจัดการเก็บของกลับ
พร้อมเคลียร์ค่าจ้าง เพียงสีหน้าท่าทาง และคำที่หล่นจากปากว่า “ได้แค่นี้เองเหรอ”
ก็บอกให้เรารู้ถึงระดับความตระหนี่ แต่กระนั้นผมก็เตือนตัวเอง... อย่าตัดสินจากปก
ค่าแรงได้วันละสามร้อย
ผมและเพื่อนบ่นอุบ ทั้งค่ารถค่าข้าว หักลบแล้วเหลือไม่กี่ตังค์
แต่ใจก็ยังเชื่อว่างบเขาน้อย ทั้งหนังสือเหลือบานเบอะ โทษกันไม่ได้
อย่าไปคิดว่าเขางก อย่าตัดสินจากปก
แม้หนังสือขายได้น้อย
แต่หลายเล่มเป็นหนังสือที่ดี (ถึงปกไม่ค่อยสวยก็ตาม)
ผมและเพื่อนเลือกที่อยากได้ไว้คนละสามสี่เล่ม กะว่างานเลิกแล้วจะขอ
เพราะแต่ละเล่มเป็นหนังสือเก่า อีกทั้งคงไม่ได้เอาออกมาวางขายบ่อยๆ แล้ว ค่าแรงไม่มาก
ได้หนังสือกลับไปอ่านปลอบใจก็ยังดี
เอ่ยปากขอโดยดี
ดันหวงขึ้นมาเสียอย่างนั้น เราอึ้งไปเล็กน้อย
หนังสือเก็บไว้หนุนหัวก็ไม่ฉลาดขึ้นหรอกนะครับนาย ผมข่มความหงุดหงิดด้วยประโยคเดิม
ไม่อยากคิดแง่ร้ายต่อผู้ว่าจ้าง อย่างน้อยเขาให้งาน ให้เงิน เบื้องลึกอาจมีเหตุผลอันควรที่ต้องสงวนหนังสือเหล่านั้นไว้
อย่า ตัด สิน จาก ปก...
สามวินาทีจากนั้น
เขาคงเห็นในความละห้อยของสายตาเรา เปลี่ยนใจเป็นให้คนละหนึ่งเล่ม
พราวสีแดง...
จะชื่ออะไรก็ช่างเถอะ เล่มนั้นวางอยู่ตรงหน้า
ผมเลือกอีกเล่ม
ปกมันสวยกว่า
คาเมะคุง