-->
ผู้อ่านคือลมหายใจของนักเขียน

วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

By it's cover


            ได้ยินว่ามีงานชั่วคราวเกี่ยวกับหนังสือให้ทำก็ดีใจ จนกระทั่งได้มานั่งเฝ้าแผงขายหนังสือนั่นแล่ะ ถึงรู้ว่างานเกี่ยวกับหนังสือไม่ได้แปลว่าการทำหนังสืออย่างเดียว
            เรื่องเกิดจากสำนักพิมพ์เก่าแก่แห่งหนึ่งจัดงานฉลองครบรอบตามประเพณี มีการออกบูธขายหนังสือจากหลายสำนัก รวมถึงนักเขียนที่มาบรรยายสรรพคุณหนังสือของตนบนเวที แม้บ้านไกล แต่ด้วยเวลาว่างอันไร้ค่าขณะนั้นมันเสียดแทงจิตสำนึกในคุณค่าชีวิตเหลือเกิน สุดท้ายปากก็ตอบตกลง
            ณ บูธเล็กๆ หลังโต๊ะทรงยาววางเรียงด้วยหนังสือหลากหลาย ชายหนุ่มสองคนนั่งหาวหวอด มองคนเดินผ่านไปมา บ้างเหลือบมอง แล้วหันขวับเดินต่อ บ้างเข้ามาด้อมมอง เปิดผ่านๆ แล้ววาง ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าหนังสือที่ไม่มีภาพประกอบมากมาย แต่อัดแน่นด้วยตัวอักษร การเปิดผ่านๆ จะวิเคราะห์ความดีความเลวของหนังสือเล่มนั้นได้อย่างไร
            แต่ผมทำประจำ
            เช้ายันหัวค่ำ เราทำยอดได้ไม่กี่เล่ม ไม่น่าแปลกใจ เพราะหนังสือแต่ละเล่มที่ผู้ว่าจ้างให้มานั่งเฝ้านั้น ออกจะห่างไกลจากกระแสนิยม บ้างเป็นวารสารแก่ๆ รายงานประจำปีเก่าๆ รวมผลงานนักเขียนที่ทั้งเก่าและแก่ บางคนแก่จนเสียชีวิตไปแล้ว เหล่านี้คือหนังสือจากองค์กรผู้ว่าจ้าง แต่เป็นเรื่องน่ายินดีที่ยังมีหนังสือใหม่ๆ ร่วมสมัยอยู่บ้าง เสียแค่ว่ามันหาได้ตามร้านหนังสือทั่วไป
            พยายามเปลี่ยนความง่วงเป็นคึกคัก ผมไล่ดูหนังสือแต่ละเล่ม น่าสนใจก็หยิบมาเปิดอ่าน บางเล่มเห็นแค่เนื้อนอกก็อยากครอบครอง ขณะที่หลายเล่มแค่เห็นปกก็เบื่อแล้ว หนึ่งในความเชยเหล่นั้น ปรากฏหนังสือเล่มหนึ่ง จำชื่อได้ไม่ชัดนัก พราวแสงดาว พราวสีรุ้ง เรืองแสงดาว เรืองแสงรุ้ง หรืออาจจะรุ้งเรืองแสง อืม... ช่างมันเถอะ
            เอาเป็นว่าจะพราวเรืองหรือดาวเรืองก็ตาม หนังสือเล่มนี้ออกแบบหน้าปกได้เชยบรรลัย ฟอนท์ชื่อหนังสือเรียบง่ายจนไม่อยากอ่าน และตัวเล่มค่อนข้างเก่า ผมไม่แปลกใจที่มันยังวางกองอยู่ ไม่ได้รับโอกาสเคลื่อนย้ายไปทำหน้าที่กระจายสารสู่ผู้อ่าน กลัวว่ามันจะน้อยใจที่ไม่มีใครเหลียว ผมหยิบมาพินิจ
            Don’t judge the book by it’s cover”
            เปล่า หนังสือไม่ได้เขียนไว้แบบนั้น แต่มันเป็นประโยคที่แล่นเข้าในหัวเพียงแค่เปิดหน้าสารบัญ
            หนังสือเล่มนี้เป็นรวมเรื่องสั้นเก่าจากนักเขียนชั้นครู รงค์ วงษ์วรรค์, วาณิช จรุงกิจอนันต์, วินทร์ เลียววาริณ และนักเขียนระดับเซียนอีกหลายคน สำหรับหนอนหนังสือและคอเรื่องสั้นแล้ว นี่คือขุมทรัพย์ดีๆ ชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว
            อย่าตัดสินหนังสือจากปก เป็นคำแนะนำที่ดี
            แต่ในมุมกลับ เจ้าของ ผู้ผลิต ต้องตระหนักว่าการตัดสินหนังสือจากปกนั้นสำคัญ เพราะคนที่เชื่อในประโยคสอนใจท่อนนั้นมีไม่มาก
            ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นแบบพราวดาวเรือง... พราวสีดาว เอ่อ... หนังสือเล่มนั้นน่ะ  
            พบหน้าเพียงแวบเดียว ไม่มีทางที่จะล่วงรู้ภายในได้ ยิ่งคนที่ชอบทำเป็นเปิดหนังสือดูผ่านๆ โดยไม่ได้อ่านแม้ประโยคเดียว ทั้งที่หนังสือนั้นไม่มีรูปภาพ มีอยู่จริง อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่ง
            แต่หากปกดี รูปเล่มเจ๋ง เปิดผ่านแล้วจัดหน้าสวยงาม ชื่อหนังสือ คอนเซปต์น่าสนใจ แม้ไม่รู้ว่าเนื้อดีพิมพ์นิยมหรือไม่ ผมเชื่อว่ามีคนซื้อ อย่างน้อยก็... คุณหรือเปล่า
            ส่วนด้านเนื้อหาจะประทับใจหรืออยากประทับตีนลงบนปก ก็ไปลุ้นเอาที่บ้าน ไม่ว่าอย่างไร ปก ของมันทำหน้าที่ทางการตลาดได้สมบูรณ์ อ่านแล้วไม่ประทับใจ แต่ไม่ถึงขั้นอยากประทับตีน เก็บไว้ประดับชั้นหนังสือพองามได้
            ส่วนหนังสือที่ดี แม้รูปนอกจะแย่อย่างไร ก็ยังควรค่าแก่ชั้นหนังสือ แต่หากเนื้อในดี แล้วเนื้อนอกก็งามด้วย มันยิ่งน่ารัก น่าหลงใหล
            ดังนั้น ปก จึงสำคัญ
            ปกที่ดีจะนำพาหนังสือที่ดีไปสู่ผู้อ่านได้มากกว่า
            ถ้าปกของมันสวย บางทีร้านอาหารอร่อยๆ อาจมีลูกค้ามากขึ้น
            ถ้าปกของเขาสวย บางทีคนขยัน ตั้งใจทำงาน อาจได้งานง่ายขึ้น
            ถ้าปกของคุณสวย บางทีคนดีๆ อย่างคุณ (หรืออาจจะผม) อาจไม่ต้องอยู่เป็นโสดนานขนาดนี้
            ศุ บุญเลี้ยง นักเขียน นักร้องรุ่นใหญ่ที่หลายคนชื่นชอบบอกลูกศิษย์น้ำหมึกของเขาไว้ว่า
             อย่าตัดสินคนที่การแต่งกาย แต่จงแต่งกายให้ดูดีอยู่เสมอ
            ภายในสำคัญเป็นเรื่องสัจธรรม แต่ภายนอกก็ไม่ควรละเลย มีสักกี่คนที่จะเปิดห่อผ้าขี้ริ้วเพื่อดูว่ามีทองอยู่ข้างในหรือเปล่า
            ถ้ามีคนแบบนั้นมากพอ หนังสือบนโต๊ะนี้คงขายได้หลายเล่ม
            จบการขายสามวัน เราทำยอดขายได้น้อยนิด แต่ค่าแรงไม่ได้ขึ้นกับยอดขาย นายจ้างเดินทางมาจัดการเก็บของกลับ พร้อมเคลียร์ค่าจ้าง เพียงสีหน้าท่าทาง และคำที่หล่นจากปากว่า “ได้แค่นี้เองเหรอ” ก็บอกให้เรารู้ถึงระดับความตระหนี่ แต่กระนั้นผมก็เตือนตัวเอง... อย่าตัดสินจากปก
            ค่าแรงได้วันละสามร้อย ผมและเพื่อนบ่นอุบ ทั้งค่ารถค่าข้าว หักลบแล้วเหลือไม่กี่ตังค์ แต่ใจก็ยังเชื่อว่างบเขาน้อย ทั้งหนังสือเหลือบานเบอะ โทษกันไม่ได้ อย่าไปคิดว่าเขางก อย่าตัดสินจากปก
            แม้หนังสือขายได้น้อย แต่หลายเล่มเป็นหนังสือที่ดี (ถึงปกไม่ค่อยสวยก็ตาม) ผมและเพื่อนเลือกที่อยากได้ไว้คนละสามสี่เล่ม กะว่างานเลิกแล้วจะขอ เพราะแต่ละเล่มเป็นหนังสือเก่า อีกทั้งคงไม่ได้เอาออกมาวางขายบ่อยๆ แล้ว ค่าแรงไม่มาก ได้หนังสือกลับไปอ่านปลอบใจก็ยังดี
            เอ่ยปากขอโดยดี ดันหวงขึ้นมาเสียอย่างนั้น เราอึ้งไปเล็กน้อย หนังสือเก็บไว้หนุนหัวก็ไม่ฉลาดขึ้นหรอกนะครับนาย ผมข่มความหงุดหงิดด้วยประโยคเดิม ไม่อยากคิดแง่ร้ายต่อผู้ว่าจ้าง อย่างน้อยเขาให้งาน ให้เงิน เบื้องลึกอาจมีเหตุผลอันควรที่ต้องสงวนหนังสือเหล่านั้นไว้ อย่า ตัด สิน จาก ปก...
            สามวินาทีจากนั้น เขาคงเห็นในความละห้อยของสายตาเรา เปลี่ยนใจเป็นให้คนละหนึ่งเล่ม
            พราวสีแดง... จะชื่ออะไรก็ช่างเถอะ เล่มนั้นวางอยู่ตรงหน้า
            ผมเลือกอีกเล่ม
            ปกมันสวยกว่า


คาเมะคุง

วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เหตุผล


            ใต้ร่มไม้สูงใหญ่ ลานกว้างเต็มด้วยโต๊ะอาหาร
            คนหนุ่มหลายคนนั่งล้อมโต๊ะ ศีรษะเกลี้ยงเกลา ผ้าเหลืองห่อหุ้มร่าง กระชับสัญญาว่าจากนี้ไปพวกเขาไม่ใช่เพียงผู้นับถือศาสนา หากเป็นผู้ดำรงและเผยแพร่ตามหลักจารึก
            เสียงสวดบทกรวดน้ำดังก้อง ญาติโยมประนมมือ เขาและเพื่อนอีกสองนายควานสายตาหาสหายรัก ชายหนุ่มที่ร่วมในพิธีอุปสมบทหมู่ครั้งนี้ เขาสบตาเรา ยิ้มอ่อนโยนดั่งเคย เชื่อว่าแม้นอกผ้าเหลือง รอยยิ้มและสายตาที่บอกจิตใจอันดีงามนั้นก็ไม่เคยเปลี่ยน
            เขาเหมาะที่จะบวช
            เพื่อนสองคนข้างๆ ยกมือนมัสการ เขาโบกมือต่ำ เพื่อนท้วงในกริยาห่ามของเขา ก่อนทั้งสามจะเดินเข้าไปคุยกับว่าที่สงฆ์หนุ่มด้วยท่าทีที่พร่องความสนิทสนมไปจากเดิม เดิมทีที่ยังไม่ละเส้นผม 
            ก่อนออกจากบ้าน เขาไม่ได้บอกแม่ว่าไปไหน เป็นความตั้งใจ ทั้งที่ไม่ได้ไปเกกมะเหรกที่ไหน ซ้ำยังเป็นงานมงคล   
เพียงแต่เขาไม่อยากให้แม่คิดว่าลูกคนอื่นกตัญญูกว่าลูกตัวเอง
            เขาบอกผมว่าไม่เคยคิดจะบวช
            อย่าเพิ่งตราหน้าว่าเนรคุณ เขารักพ่อ รักแม่ และรักมาก (มากที่เป็นคำขยาย ไม่ใช่พี่มาก) เพียงแต่ยังไม่บรรลุเหตุผลที่ควรบวช โดยเฉพาะกับคนที่ใช้ชีวิตบนทางโลกเป็นหลักอย่างเขา
            หลายครั้งเคยได้ยินคุณประโยชน์ บวชเพื่อชำระล้างจิตใจ เพื่อขจัดกิเลส แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง แต่สำหรับคนที่พร้อมจะลดละเลิกจริงๆ ซึ่งเขายังไม่เป็นหนึ่งในนั้น
            ไหนจะเพื่อทดแทนบุญคุณ ให้พ่อแม่เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ แม้นสวรรค์มีจริง เขาเพียงเชื่อมาตลอดว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เขาว่าถ้าบวช กิจวัตรที่แน่นอนไม่ใช่นั่งสมาธิภาวนา แต่อาจเป็นการเพ้อฟุ้งไปในเรื่องทางโลก หรือคิดถึงหญิงสาวที่ชอบ ชายผ้าเหลืองอาจลากผู้เกี่ยวข้องไปแดนอื่นแทนสุขาวดี
            เขายกอีกวลีน่าสนใจ บวชก่อนเบียด ว่าทำให้เขามองจุดประสงค์การบวชเพี้ยนเพิ่มไปอีกว่า เป็นดำเนินการเตรียมตัวเพื่อที่จะไปเบียดหรืออย่างไรแน่?
            ไม่ใช่อยากตั้งตนเป็นปรปักษ์ศาสนา เพียงแต่เมื่อได้พบ ได้สัมผัส และใช้สมองอันเบาปัญญาขบคิดดูโดยจริงจังแล้ว มันรู้สึกเช่นนั้น
            เขาเล่าถึงกาลอดีตว่าเคยบวชเณรเมื่ออายุเท่าเด็ก ม.4 ทุกวันตื่นแต่เช้า บิณฑบาตจากชาวบ้านละแวกวัด จากนั้นนั่งรับภัตตาหารต่อ บางวันมาก บางวันน้อย ฉันไม่เคยหมดสักวันเดียว
            พำนักอยู่กับพระอาจารย์ที่โยมแม่ฝากฝัง ท่านยังคงบุคลิกคนหนุ่มซึ่งแฝงไว้ด้วยความอาวุโส เป็นที่เคารพของญาติโยมต่างๆ พระอาจารย์รักการถ่ายภาพและใช้เวลาว่างท่องอินเทอร์เน็ต (บ่อยนักในเว็บพันธ์ทิพย์ ห้องที่เกี่ยวกับการถ่ายรูป)
            เขายอมรับว่าความตะขิดตะขวงในเรื่องนี้อาจเกิดจากความทึ่มทึบในตัวตนที่ไม่รู้ว่าการใช้อินเทอร์เน็ตสำหรับพระสงฆ์นั้นไม่เหมือนกับฆราวาสบางคนที่ใช้เพื่อบันเทิงเป็นหลัก สมัยนี้การเผยแพร่คำสอน ถ้อยเทศนา ผ่านอินเทอร์เน็ตนั้นมีมากมาย แปลกอะไรหากพระอาจารย์จะใช้สื่อออนไลน์เพื่อการศึกษาและเผยแพร่สิ่งดีงาม
            ถ้าเขาไม่ทะลึ่งไปเห็นจอยสติ๊กในห้องของท่านเสียก่อน
            หยุดครับ เขาดีดคำห้วนขึ้นมา อย่าเพิ่งมองท่านในแง่ร้าย เพราะสุดท้ายเขาไม่ทราบว่าเป็นของท่านเองหรือเปล่า มีลูกศิษย์มาฝากไว้หรือไม่ (ทั้งกุฏิมีแค่เขาและท่าน) แต่นั่นก็ทำให้คนชอบตั้งคำถามอย่างเขาผุดเควสชั่นมาร์คขึ้นหลายอันเหมือนกัน ยิ่งตอนที่มีโอกาสสอนท่านเล่นเอ็มเอสเอ็น ดันเหลือบไปเห็นไอค่อนเกมวินนิ่งอีเลเว่นบนเดสทอป สายตาอุตริจริงๆ เขารำพึง
            อีกครั้งหนึ่งก่อนนี้ประมาณหนึ่งปี เพื่อนรักเข้าพิธีอุปสมบท เอ่ยอ้างลั่นวจีว่าอยากบวช เป็นมั่นเป็นเหมาะ เขายินดียิ่ง จนกระทั่งสี่ห้าวันให้หลัง ได้ฟังคำจากทิดหนุ่มว่าสึกก่อนกำหนด เพราะเบื่อ เขาเข้าใจ และคิดไว้แต่แรก
            แม่เขาพูดเสมอว่าให้ทำบุญสะสมไว้มากๆ ถึงคราเคราะห์กรรมซัด กุศลจะกลับมาเกื้อหนุนจุนเจือได้ ครั้งหนึ่งแม่รบเร้าให้ไปกราบหลวงพ่อชื่อดัง ราวว่าท่านเป็นอรหันต์แล้ว ได้สักการะครั้งหนึ่งจะได้บุญกว่าตักบาตรพันครั้ง เขาบอกผมว่าตอนนั้นแปลกใจที่รู้ว่าบุญคิดเป็นมูลค่า มีมากมีน้อย เป็นวัตถุชนิดหนึ่งบนโลกที่หลายคนนิยม หรือเป็นวัตถุนิยมไปแล้วหรือเปล่า เขาไม่แน่ใจ
            เทศกาลทำบุญใหญ่มาเยือน งานสิริมงคลโอฬาร เขาดันอุตริคิดว่าข้าวสารอาหารแห้งอันเหลือเฟือเหล่านั้นจะควรค่าของตัวมันเองมากกว่านี้ หากถูกจำหน่ายไปยังหมู่บ้านที่เต็มด้วยคนยากไร้ หิวโหย ใครบางคนบอกเขาว่าการใส่บาตรกับพระสงฆ์นั้นได้บุญมากกว่าหลายเท่าตัว
            “พุทโธ่” เขาอุทานแบบพุทธศาสนิกชน เผลอปักใจด้วยความเขลามาตลอดว่าบุญกุศลจะมากจะน้อย ขึ้นอยู่กับความตั้งใจและจุดประสงค์ในการเผื่อแผ่เป็นหลัก
            ผมมองหน้า สบสายตาเขาที่เจือแววเศร้าปนสมเพชตัวเอง
            ด้วยการตีความผิวเผิน ผมเปรยว่าเขาคงไม่เคยคิดสวดมนต์ ไปทำบุญ หรือรักษาศีลเลย
            คำเฉลยจากฝีปากเขาทำให้ผมอายเล็กน้อย
            เขาสวดมนต์ก่อนนอนทุกวัน กราบไหว้พระพุทธรูปและพระสงฆ์ ไปตักบาตรทุกครั้งที่แม่ต้องการเขาไปด้วย
            เหนือสิ่งอื่นใด เขาไม่เคยดื่มเหล้าและสูบบุหรี่
            ผมเลิกคิ้วขึ้น ส่งสายตาประหลาดใจ
            เขาบอกว่าไม่เชื่อก็ได้ เพราะเขาไม่เคยศรัทธาในศีลห้าข้อที่ 4 เพียงแต่เชื่อสุดใจในนิทานเรื่องเด็กเลี้ยงแกะเท่านั้น
            แล้วทำไมเขาจึงสวดมนต์
            เขาเชื่อว่าการสวดมนต์ทำให้จิตใจสงบ มีสมาธิ นำไปสู่สติ และมุ่งตรงไปยังชีวิตที่ดี เขาไม่ได้เชื่อว่าสวดมนต์แล้วชีวิตจะดีขึ้นด้วยบางอย่างที่มองไม่เห็น
            ทำนองเดียวกับการกราบพระ และไปตักบาตร
            เพียงแต่การบวชที่แม่ต้องการ เขาไม่เห็นเหตุผลและความจำเป็นของการต้องโกนหัว โกนคิ้ว ห่มเครื่องแบบที่เรียกว่าผ้าเหลือง แล้วอยู่อย่างเงียบเหงาในกุฏิเพียงเพื่อขีดปฏิทินรอวันสึก นี่คือตัวเขา ซึ่งหากเป็นคนอื่น อาจตั้งมั่นรักษาศีล สมาธิ เจริญภาวนา และนำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นได้
            แต่เขากลับเห็นว่าการเข้าสู่ทางธรรม เพื่อให้ชีวิตดีขึ้นในทางโลกนั้น การบวชก็เป็นเพียงเครื่องบ่มเพาะบุญกุศลเพื่อสนับสนุนชีวิตทางโลกอย่างนั้นหรือ
            แม้จะไม่เคยตั้งใจเรียนวิชาพุทธศาสนา แต่เขาก็จำได้ลางๆ ว่าหลักแท้จริงคือการละเว้นกิเลสทั้งปวง ซึ่งประกอบด้วยรักโลภโกรธหลง รวมถึงชื่อเสียเงินทอง ขณะที่ใครบางคนคิดว่าการสะสมบุญมีเพื่อมุ่งหมายในความร่ำรวย สำเร็จในหน้าที่การงาน
            เขาจึงศรัทธาในผู้บำเพ็ญกุศลเพื่อละกิเลสอย่างแท้จริงมากกว่าคนที่ทำบุญเพื่อหวังบุญ เลื่อมใสในพระสงฆ์ที่ตั้งมั่นในการบวชไว้จนสิ้นลมหายใจ มากกว่าที่บวชเพราะเป็นหน้าที่ชายไทยอายุเกิน 20 ปี
            ความคิดเขาช่างแปลกแยก โชคดีที่คนรับฟังคือผม หาใช่คนใจแคบมองโลกด้านเดียว
            ผมสงสัยในการละเว้นอบายมุขของเขา หากเขาไม่ศรัทธาในศีลในธรรม แล้วเขากลัวบาปเรื่องนี้ด้วยหรือ
            เขาไม่ได้ละเพราะกลัวบาป
            เขาเพียงมองไม่เห็นเหตุผล และประโยชน์ของการดื่ม สูบ เสพ สักวันหากพบเหตุผลที่ดีพอ เขาพร้อมจะรินใส่แก้ว คาบใส่ปาก
            เช่นกันกับเหตุผลของการละเส้นผม สวมผ้าเหลือง เขายังไม่พบเหตุผลที่ดีพอ ซึ่งไม่ใช่การประกาศกร้าวว่าชีวิตนี้จะไม่แตะผ้าเหลือง เขาพร้อมแน่ หากสมเหตุสมผล
            “ผมเคยฟุ้งขึ้นว่า หากได้สบกับยมบาลตอนทียังไม่ถึงฆาต ผมจะถามท่านว่า ชีวิตผมทั้งชีวิตลิ้นไม่เคยแตะน้ำเมา ฝีปากไม่เคยสัมผัสก้นกรอง แต่ไม่เคยอยู่ในศีลในธรรม ในผ้าเหลือง ผมจะต้องลงนรกไหม” เขากล่าวเย่อหยิ่ง ผมขนลุกด้วยหวาดเสียวว่าบุคคลที่ถูกพาดพิงจะนั่งฟังอยู่ข้างๆ
            ผมถามเขาครั้งสุดท้าย พรุ่งนี้วันวิสาขบูชา เขาจะไปเวียนเทียนไหม
            “ถ้าแม่อยากให้ผมไป ผมก็อยากไป เวียนเทียนเป็นกิจกรรมที่ดี โบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ควรค่าแก่การเดินชม และทำสมาธิ”
            เราเอ่ยคำลา ด้วยศรัทธาในความแน่วแน่ของวิถีชีวิต ผมยื่นมือหวังสัมผัสมือเขาด้วยแรงบีบมั่นคง
            แต่กระจกเงาเบื้องหน้ากั้นไว้
            แม่ของผมเดินมา เอ่ยชวนไปเวียนเทียนพรุ่งนี้
            “ถ้าแม่อยากให้ผมไป ผมก็อยากไปครับ”



คาเมะคุง