1
มีคนเคยบอกว่าฝนตก “จั้กๆ”
เขาเองก็เคยได้ยินเช่นนั้น
แม้แต่ ซู่ ซ่า เปาะแปะ ก็แว่วหูมาบ้าง
แต่ใครเล่าจะนิยามสรรพเสียงแห่งธรรมชาติได้คล้ายคลึงที่สุด
เขาจึงไม่รู้จะเชื่อว่าเสียงที่ดังล้อมรอบอยู่นี้ ดังว่าอะไรดี แต่กระนั้น สิ่งที่บอกให้รู้ถึงฝนตกก็ไม่ได้มีเพียงโสตประสาทด้านเสียง
เพราะความเปียกชื้น กลิ่น อุณหภูมิ หรือกระทั่งความรู้สึกเปล่าเปลี่ยว
ก็เป็นสัญญาณเตือนแห่งฝนได้เช่นกัน
มันตกแรงจนแทบไม่ได้ยินเสียงอื่น
มีเพียงต้นไม้สูงใหญ่เท่านั้นที่ดูจะเริงรื่น ต่างโน้มตัวไปมาตามแรงลม
ชูกิ่งก้านพร้อมใบเขียวรองน้ำฝนสำราญใจ เป็นอารมณ์ตรงข้ามกับความเฉอะแฉะ
วุ่นวายที่ปรากฏบนพื้น แก้วน้ำอัดลมจากร้านอาหารจานด่วนปลิวผ่านหน้าเขาไป
มองข้ามไปยังอีกฟากของถนน ชาวเมืองเบียดเสียดกันใต้ชายคาอาคาร
แต่เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม ม้านั่งสาธารณะทรงยาวสีขาว บางส่วนของมันหลุดกร่อนเป็นแผ่น
เผยให้เห็นเนื้อเหล็กด้านใน หลังคาพลาสติกเปราะบางที่กันได้เพียงแดดและปรอยฝนอ่อนๆ
ไม่ช่วยคุ้มกันเม็ดฝนมหึมาเหล่านี้ได้ ทว่าเสื้อกันฝนที่คลุมร่างอยู่ยังทำหน้าที่ของมันได้ดี
และข้างๆ นั้น ร่มขนาดกลางที่ดูไว้ใจได้ก็พร้อมเสมอสำหรับงานกลางแจ้ง
หากจะหาคำตอบว่าทำไมเขาจึงไม่ใช้อุปกรณ์ที่อย่างฉลาด
เพื่อพาตัวเองไปยังบ้านหรือแห่งหนอื่นที่ความอบอุ่นเข้าถึง – อาจต้องมีใครสักคนยอมทนฟังเรื่องอดีต
มันเกิดขึ้นตั้งแต่ฝนเพิ่งมาเยือนใหม่ๆ
หลังจากความอบอ้าวตั้งแต่ช่วงที่อาทิตย์เพิ่งตะกายขอบฟ้าขึ้นมา ตกบ่ายเมฆดำก่อตัว
ส่งเสียงทวงอำนาจครืนคราม วายุพัดเตือนเป็นสัญญาณว่าอีกไม่ช้าสมรภูมิแห่งนี้จะคลุมด้วยความหนาวเย็น
ชื้นแฉะ
ที่สุดแล้วสายฝนก็เทลงมา จากสีหน้าของผู้คนละแวกนั้น
เพียงผิวเผินก็เดาไม่ยากว่าพวกเขารักปรากฏการณ์นี้เพียงใด น้ำขังบนพื้นพร้อมกระโจนเข้าริมทางทุกครั้งที่ยานยนต์แล่นผ่าน
ร่างเปียกชื้นอัดแน่นใต้ชายคาบริเวณนั้น ชายหนุ่มในชุดลำลองปรากฏตัว เสื้อยืดขาวชุ่มน้ำฝนแนบไปกับร่างผอมบาง
สั่นเทาอยู่ในภาวะแห่งฝน ดูเข้ากันดีกับกางเกงยีนรัดขาสไตล์วัยรุ่นที่ไม่แห้งไปกว่ากัน
เขาพยายามใช้แฟ้มพลาสติกแผ่เหนือหัว แม้ไม่เกิดประโยชน์เท่าไร
ชายคาที่พอจะพึ่งได้ในละแวกนั้นไม่เหลือที่ว่างให้เขาอีกแล้ว
จึงตัดสินใจมุ่งไปยังม้านั่งสาธารณะสีขาว
ที่ผู้จัดทำอุตส่าห์ลำบากสร้างหลังคาพลาสติกบางๆ ไว้เพื่อให้ผู้ที่ตั้งใจมาหลบฝนได้เปียกฝนอยู่ดี
แต่อย่างไรก็คงดีกว่าทำตัวเป็นพระเอกเอ็มวี เปียกปอนกลางสายฝน
สาวน้อยบนม้านั่งถูกห้อมด้วยสะเก็ดฝน
ทุกอย่างดึงดูดสายตา เสื้อกันฝนสีชมพูใส กับร่มในสีโทนเดียวกันที่หุบพาดข้างตัว
ไหนเลยจะดวงตากลมใต้คิ้วเรียวเข้มนั้นที่เหม่อไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย
เขาแอบมองแก้มขาวที่ประด้วยละอองฝนบางๆ ก่อนเธอจะรู้ตัวหันมามองอย่างไม่คะเขิน
แต่เป็นเขาเสียเองที่ต้องหลบสายตา เสียงใสที่ผสมระหว่างความเป็นเด็กและหญิงสาวแทรกขึ้นกลางเสียงฝนที่ดังต่อเนื่องราวถนนถูกเจาะ แม้นุ่มนวล แต่ได้ยินชัด
“ตรงนี้หลบไม่พ้น”
ความรู้สึกพิสดารในใจที่ผุดขึ้นไม่ได้เกิดจากข้อเท็จจริงนั้นหรอก...
มันเป็นความรู้สึกชอบกลกับการทักทาย ในโลกที่ยากจะเอ่ยปากต่อคนแปลกหน้า
เขากลับได้รับหยิบยื่น แม้รู้เต็มอกว่าสิ่งที่เธอบอกอย่างหวังดีเป็นความจริงแท้
แต่ด้วยประโยชน์ข้อแรกที่ว่าเขาจะไม่ถูกครหาเป็นพวกชอบทำตัวเหมือนพระเอกเอ็มวี
บวกกับข้อสองที่มีหญิงสาวน่ารักเอ่ยปากคุยกับเขา – ทำให้เขาไม่อาจริปฏิเสธพื้นที่แห่งนี้ได้
เขาตอบเธอด้วยรอยยิ้มปนเขิน
เธอเลิกคิ้วขึ้นราวกับบอกว่า ไม่เชื่อก็ตามใจ แต่เขาก็แอบเห็นรอยยิ้มที่ซ่อนไว้บริเวณมุมปาก
ฝนเริ่มเบาลง
ปรอยอย่างสม่ำเสมอ ลมสงบท่าทีลงมาก
แต่สังคมก็ยังรับได้หากเขาจะใช้ข้ออ้างเรื่องฝนเพื่อยืนตรงนี้ต่อไป
และดูเหมือนเขาอยากจะอ้างเช่นนั้น
“มีทั้งร่มและเสื้อกันฝน
ทำไมยังนั่งอยู่?” ด้วยบริบทแวดล้อมเช่นนั้น
คงไม่มีใครอุตริตีความไปว่าเขาอยากจะให้หญิงสาวในเสื้อกันฝนรีบลุกแล้วเดินกางร่มกลับบ้านไป
“ไม่ได้มาหลบฝน”
“แล้วทำไมต้องใส่เสื้อกันฝน”
เธอเหลือบมองเขาด้วยยิ้มมุมปาก
สายตาและคิ้วท่าทีฉงน เขาตอบคืนด้วยรอยยิ้มจริงใจที่ทำให้ตาของเขาบีบเป็นเส้นเล็กๆ
คล้ายสระอิ พลางใช้มือปาดน้ำฝนที่เกาะใบหน้า
ร่างอันชุ่มแฉะก่อความเย็นเยียบไปทั้งตัว ทว่าหัวใจของเขายังเต้นได้ดี
“มาดูฝน”
ฟ้ามืดลง สวนทางกับแสงไฟนีออนแห่งเมืองหลวง
เขายังคงอยู่ที่เดิม นั่งบนเก้าอี้ยาวสีขาวนั้นด้วยร่างเปียกชื้น เธอไปแล้ว พร้อมกับฝนที่คืนสู่ฟ้า
ทิ้งไว้เพียงร่องรอยชุ่มฉ่ำตามพื้นบาทวิถี กิ่งก้านของต้นไม้ อาคารสูงใหญ่
รวมถึงหัวใจของเขา โดยไม่ฝากคำร่ำลา ดังคนไม่รู้จักกัน แต่นั่นก็ถูกของเธอแล้ว
2
ชื่อว่าฤดูฝน แต่ไม่หมายความถึงฝนต้องเทลงทุกวัน
บางวันอาทิตย์ยิ้มหน้าบาน ขณะที่คนเบื้องล่างคิ้วขมวด บางวันฟ้าขาวขุ่น เมฆฟูฟ่อง
และนั่นหมายถึงการรอคอย คอยจนกว่าฝนจะตกอีกครั้ง ซึ่งฟ้าไม่ทำให้เขาคอยนานเกินสองถึงสามวัน
เมฆครึ้มแต่เช้าตรู่
และฝนเทเมื่อตอนสาย ไม่รุนแรงแต่ส่งเสียงดังชัด เขากางร่มฝ่าไปยังสถานที่นั้น
ก้าวเท้าย่ำไปบนพื้นนองน้ำอย่างละเมียดละไม ไม่ให้กระเซ็นมาถึงเสื้อยืดลายจอห์น
เลนน่อน ตัวโปรด ต้นไม้ที่ปลูกไว้ข้างทางเพื่อซับควันพิษในเมืองกรุงยังเริงร่ากับน้ำฝนเช่นเคย
มันสะบัดกิ่งก้านไปมาอย่างสำราญใจ
เสื้อกันฝนคุ้นตากับเจ้าของคนเดิมปรากฏตัวให้เขารู้สึกสมหวัง
เธอยังคงมองสูงไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย และหันสบตากับเขาทันทีที่รู้สึกตัวว่าเขามาใกล้
คิ้วของเธอแสดงอาการประหลาดใจเล็กๆ ก่อนหันกลับไปมองสายฝนเช่นเดิม
ไม่มีสรรพเสียงอื่นใดนอกจากท่วงทำนองของน้ำฟ้าที่ตกกระทบวัตถุบนโลก
ภาพชายหนุ่มร่างผอมยืนกางร่มใต้หลังคาพลาสติกบางนั้นยิ่งน่าขันเมื่อผสานกับสาวน้อยในเสื้อกันฝนสีหวานบนม้านั่งสีขาวข้างๆ
เวลา ความสงบและหยาดฝนทำหน้าที่ของมันไปเรื่อยๆ
จนเขาคิดว่าควรทำลายความเงียบนี้ลง
“มาดูฝนหรอ”
เธอหันหน้ามองเขา ดูคล้ายรอยยิ้มของเธอจะโผล่ออกมายากพอๆ
กับฝนในฤดูหนาว เธอพยักหน้าเบาๆ แทนคำตอบ ทำลายความหวังในการเริ่มบทสนทนาของเขาลงอย่างสิ้นเชิง
ก่อนจะสร้างมันขึ้นมาใหม่อย่างฉลาด
“เราชอบเดอะบีทเทิลส์เหมือนกัน”
เธอพูดถึงนักร้องนำที่สกรีนบนเสื้อยืด เขายิ้มอย่างปีติ และสานต่ออย่างมีชั้นเชิง
“มิน่าถึงมองท้องฟ้า ลูซี่หรือ”
“...”
ดูเหมือนใบหน้าฉงนของเธอจะเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาไปแล้ว
“ลูซี่อินเดอะสกาย”
เธอหัวเราะคิกคัก
ทำให้เขาได้เห็นรอยยิ้มของเธอที่กว้างกว่าทุกครั้ง อาจจะไม่กว้างที่สุด
แต่มันทำให้เขาพอใจ และกล้าเปิดบทสนทนาใหม่
“ทำไมต้องดูฝน?”
บทสนทนาไม่เป็นไปอย่างกระชับ
หากเชื่องช้า และถูกแทรกด้วยช่องว่างแห่งความเงียบอยู่เนืองๆ
แต่เขาไม่รู้สึกว่ามันเป็นความเงียบอันน่าอึดอัดเลย
“เราชอบดูฝน พอๆ
กับคนที่ชอบดูพระอาทิตย์ตก”
“ตรงนี้หลบไม่พ้น
ทำไมไม่ดูที่อื่น”
“ที่อื่น ก็มีคนอื่น”
“ดูด้วยคนได้ไหม?”
สิ้นประโยคของเขาความเงียบแทรกตัวนานเป็นพิเศษ…
“ฝนตกเพื่อให้คนรู้สึกเหงา
และโดดเดี่ยว ถ้าดูสองคนก็ไม่ได้ความรู้สึกนั้น”
ความเย็นเยียบของบรรยากาศอันชื้นด้วยน้ำฝนยิ่งทวีความหนาวเข้าในหัวใจเมื่อเขาได้ฟังคำตอบ
พลางรู้สึกเป็นส่วนเกินอาจทำลายปรารถนาสู่ความโดดเดี่ยวของเธอ
“นั่งได้นะ... ถ้าเมื่อย”
เขาอาจคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่รับมือยากคนหนึ่งทีเดียว
แต่เขาต้องนั่งลงข้างเธอเท่านั้น เพราะไม่มีอะไรจะควรทำมากกว่าสิ่งนี้อีก
แม้กางเกงยีนของเขาอาจต้องชุ่มน้ำฝนที่เจิ่งอยู่บนม้านั่ง
และเขาอาจต้องเดินกลับบ้านด้วยความเปียกอับชื้นภายในก็ตาม
ทั้งสองต่างมุ่งสายตาไปข้างหน้า
มองไปยังเม็ดฝนที่โปรยลงมาราวคนบนฟ้าต้องการหว่านเมล็ดแห่งความชุ่มชื้นลงบนพื้นโลก
ไม่มีช่วงไหนของชีวิตที่รอบกายและรอบใจของเขาจะชุ่มชื่นเท่านี้อีกแล้ว หากไม่ได้เข้าข้างตัวเองจนเกินไป
เขาคิดว่าเธอกำลังอมยิ้ม...
เม็ดฝนเริ่มหดตัว
เสียงยานพาหนะ ความจอแจของผู้คนดังขึ้นแทนที่ ทุกอย่างย่อมมีวันเลิกรา โดยเฉพาะงานเลี้ยง
และฝนตก
เธอจากไปอย่างไม่รีรอเช่นเคย
เพียงแต่ครั้งนี้ เธอเอ่ยคำลา
เขาเดินยิ้มกลับบ้านอย่างคนบ้า
3
หากฝนตกเป็นการแสดงอารมณ์ของท้องฟ้าและก้อนเมฆ
คงไม่อาจแปลอย่างแคบๆ เพียงความหมายเดียว เพราะบางครั้งมันก็ตกอย่างน่ารัก
พอให้ได้เย็นสบายราวกับหัวเราะ บางครั้งก็ตกอย่างชุ่มฉ่ำประหนึ่งร้องไห้
และในเวลานี้ มันตกอย่างเกรี้ยวกราด พร้อมเสียงคำรามกึกก้อง ลมกรรโชกรุนแรง
เธอจะอยากมองฝนที่กำลังโมโหเช่นนี้หรือไม่... เขาคิด
นั่นคือเหตุที่ทำให้เขาต้องสรรหาเสื้อกันฝนมาให้ได้
พร้อมร่มที่แข็งแรงพอจะลุยสถานการณ์นี้ไปให้ถึงจุดหมาย มันคือความเป็นห่วง
หรือความโหยหา ไม่อาจมีใครบอกได้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ตาม
แรงลมพัดต้านจนร่มเกือบหลุดมือเขาไปถึงสองครั้ง
ฝนเม็ดใหญ่กระหน่ำใส่เสื้อกันฝนและใบหน้าละอ่อนอย่างไม่ปราณี เมฆทะมึนเบื้องบนลามไปทั่วท้องฟ้า
ดังอสูรกายโกรธเกรี้ยว
เพียงสิบก้าวก่อนถึงจุดหมาย
แม้ม่านฝนกำบังแน่นหนา แต่เขารู้ดีว่าเธอนั่งอยู่ตรงนั้น ยังคงสม่ำเสมอในทุกอารมณ์ของฟ้าฝน
แม้เพียงเสื้อกันฝนไม่อาจปกป้องได้ เธอยอมถูกชโลมด้วยหยาดฝน เพียงเพื่อได้เฝ้ามองมัน
และคงดีไม่น้อยหากเขาได้เคียงข้างเธอในกาลนี้
บางทีเขาอาจแนะนำเธอให้ลองย้ายไปดูฝนในร้านกาแฟพร้อมเครื่องดื่มอุ่นๆ แทน
แล้วภาพที่ดับความหวังของเขาให้หายไปกับเสียงห่าฝนก็ฉายขึ้น
ประหนึ่งภาพยนตร์สะเทือนใจ เมื่อชายหนุ่มร่างสูง เจ้าของรูปร่างแบบสมัยนิยมกางร่มคันใหญ่เดินมาดมั่นเข้ามา
เขาพูดคุยอะไรกับเธอนั้นคงมีแต่ฝนที่ล่วงรู้ แต่ไม่นานเขาก็จูงมือเธอเดินไปใต้ร่มคันใหญ่นั้น
ห่างออกไปเป็นภาพเลือนรางของไฟท้ายรถเก๋งที่กระพริบเป็นจังหวะรอทั้งสองอยู่ เก้าอี้ขาวถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวกลางฝนที่กระเซ็นเซาะเข้ามาใต้หลังคาบาง
บางทีเขาอาจเป็นแค่พี่ชาย หรือพ่อที่ไม่อยากให้ลูกสาวจับไข้ด้วยพฤติกรรมไม่จำเป็น
หากแต่ชายหนุ่มในเสื้อกันฝนเพียงรู้สึกว่าเขาไม่อาจทำใจให้คิดเข้าข้างตัวเองเช่นนั้นได้อีก
ฟ้าและฝนยังคงกระหน่ำลงมา
มันตกจนร่มและหัวใจของเขาแทบละลาย…
4
คนเรามีโลกคนละใบ แต่เมื่อหลงเข้าไปอยู่ในโลกของใครสักคน
เราอาจต้องติดอยู่ในนั้นอย่างช่วยไม่ได้ กระทั่งโลกใบนั้นไร้ซึ่งเจ้าของเดิมแล้วก็ตาม
แต่เราจะยังคงอยู่ในโลกใบนั้นต่อไป อย่างเดียวดาย
มีคนบอกว่าฝนตก “จั้กๆ”
เขาเองก็เคยได้ยินเช่นนั้น
แม้แต่ ซู่ ซ่า เปาะแปะ ก็แว่วหูมาบ้าง แต่ใครเล่าจะนิยามสรรพเสียงแห่งธรรมชาติได้คล้ายคลึงที่สุด…
บางทีอาจไม่ใช่ความจำเป็นที่ต้องนิยามห้วงเสียงเหล่านั้น
เพราะยังมีสิ่งอื่นที่บอกได้ว่าฝนกำลังตก
ไม่ใช่ความเปียกชื้น
หรืออุณหภูมิ แต่เป็นความคิดถึงใครบางคน
ภายในเสื้อกันฝนตัวนั้น เขายังคงนั่งอยู่
ในโลกของเธอ เฝ้าคิดถึงเจ้าของโลกคนเดิมที่ทำให้เขายังติดอยู่ไม่ไปไหน
“ฮ้าดดด เช่ย!”
เขาติดโลกนี้เสียแล้ว
คาเมะคุง