-->
ผู้อ่านคือลมหายใจของนักเขียน

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

โลกอีกใบ


1
            มีคนเคยบอกว่าฝนตก “จั้กๆ”
            เขาเองก็เคยได้ยินเช่นนั้น แม้แต่ ซู่ ซ่า เปาะแปะ ก็แว่วหูมาบ้าง แต่ใครเล่าจะนิยามสรรพเสียงแห่งธรรมชาติได้คล้ายคลึงที่สุด เขาจึงไม่รู้จะเชื่อว่าเสียงที่ดังล้อมรอบอยู่นี้ ดังว่าอะไรดี แต่กระนั้น สิ่งที่บอกให้รู้ถึงฝนตกก็ไม่ได้มีเพียงโสตประสาทด้านเสียง เพราะความเปียกชื้น กลิ่น อุณหภูมิ หรือกระทั่งความรู้สึกเปล่าเปลี่ยว ก็เป็นสัญญาณเตือนแห่งฝนได้เช่นกัน
            มันตกแรงจนแทบไม่ได้ยินเสียงอื่น มีเพียงต้นไม้สูงใหญ่เท่านั้นที่ดูจะเริงรื่น ต่างโน้มตัวไปมาตามแรงลม ชูกิ่งก้านพร้อมใบเขียวรองน้ำฝนสำราญใจ เป็นอารมณ์ตรงข้ามกับความเฉอะแฉะ วุ่นวายที่ปรากฏบนพื้น แก้วน้ำอัดลมจากร้านอาหารจานด่วนปลิวผ่านหน้าเขาไป มองข้ามไปยังอีกฟากของถนน ชาวเมืองเบียดเสียดกันใต้ชายคาอาคาร แต่เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม ม้านั่งสาธารณะทรงยาวสีขาว บางส่วนของมันหลุดกร่อนเป็นแผ่น เผยให้เห็นเนื้อเหล็กด้านใน หลังคาพลาสติกเปราะบางที่กันได้เพียงแดดและปรอยฝนอ่อนๆ ไม่ช่วยคุ้มกันเม็ดฝนมหึมาเหล่านี้ได้ ทว่าเสื้อกันฝนที่คลุมร่างอยู่ยังทำหน้าที่ของมันได้ดี และข้างๆ นั้น ร่มขนาดกลางที่ดูไว้ใจได้ก็พร้อมเสมอสำหรับงานกลางแจ้ง
            หากจะหาคำตอบว่าทำไมเขาจึงไม่ใช้อุปกรณ์ที่อย่างฉลาด เพื่อพาตัวเองไปยังบ้านหรือแห่งหนอื่นที่ความอบอุ่นเข้าถึง – อาจต้องมีใครสักคนยอมทนฟังเรื่องอดีต
            มันเกิดขึ้นตั้งแต่ฝนเพิ่งมาเยือนใหม่ๆ หลังจากความอบอ้าวตั้งแต่ช่วงที่อาทิตย์เพิ่งตะกายขอบฟ้าขึ้นมา ตกบ่ายเมฆดำก่อตัว ส่งเสียงทวงอำนาจครืนคราม วายุพัดเตือนเป็นสัญญาณว่าอีกไม่ช้าสมรภูมิแห่งนี้จะคลุมด้วยความหนาวเย็น ชื้นแฉะ
            ที่สุดแล้วสายฝนก็เทลงมา จากสีหน้าของผู้คนละแวกนั้น เพียงผิวเผินก็เดาไม่ยากว่าพวกเขารักปรากฏการณ์นี้เพียงใด น้ำขังบนพื้นพร้อมกระโจนเข้าริมทางทุกครั้งที่ยานยนต์แล่นผ่าน ร่างเปียกชื้นอัดแน่นใต้ชายคาบริเวณนั้น ชายหนุ่มในชุดลำลองปรากฏตัว เสื้อยืดขาวชุ่มน้ำฝนแนบไปกับร่างผอมบาง สั่นเทาอยู่ในภาวะแห่งฝน ดูเข้ากันดีกับกางเกงยีนรัดขาสไตล์วัยรุ่นที่ไม่แห้งไปกว่ากัน เขาพยายามใช้แฟ้มพลาสติกแผ่เหนือหัว แม้ไม่เกิดประโยชน์เท่าไร
            ชายคาที่พอจะพึ่งได้ในละแวกนั้นไม่เหลือที่ว่างให้เขาอีกแล้ว จึงตัดสินใจมุ่งไปยังม้านั่งสาธารณะสีขาว ที่ผู้จัดทำอุตส่าห์ลำบากสร้างหลังคาพลาสติกบางๆ ไว้เพื่อให้ผู้ที่ตั้งใจมาหลบฝนได้เปียกฝนอยู่ดี แต่อย่างไรก็คงดีกว่าทำตัวเป็นพระเอกเอ็มวี เปียกปอนกลางสายฝน
            สาวน้อยบนม้านั่งถูกห้อมด้วยสะเก็ดฝน ทุกอย่างดึงดูดสายตา เสื้อกันฝนสีชมพูใส กับร่มในสีโทนเดียวกันที่หุบพาดข้างตัว ไหนเลยจะดวงตากลมใต้คิ้วเรียวเข้มนั้นที่เหม่อไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย เขาแอบมองแก้มขาวที่ประด้วยละอองฝนบางๆ ก่อนเธอจะรู้ตัวหันมามองอย่างไม่คะเขิน แต่เป็นเขาเสียเองที่ต้องหลบสายตา เสียงใสที่ผสมระหว่างความเป็นเด็กและหญิงสาวแทรกขึ้นกลางเสียงฝนที่ดังต่อเนื่องราวถนนถูกเจาะ แม้นุ่มนวล แต่ได้ยินชัด
            “ตรงนี้หลบไม่พ้น”
                ความรู้สึกพิสดารในใจที่ผุดขึ้นไม่ได้เกิดจากข้อเท็จจริงนั้นหรอก... มันเป็นความรู้สึกชอบกลกับการทักทาย ในโลกที่ยากจะเอ่ยปากต่อคนแปลกหน้า เขากลับได้รับหยิบยื่น แม้รู้เต็มอกว่าสิ่งที่เธอบอกอย่างหวังดีเป็นความจริงแท้ แต่ด้วยประโยชน์ข้อแรกที่ว่าเขาจะไม่ถูกครหาเป็นพวกชอบทำตัวเหมือนพระเอกเอ็มวี บวกกับข้อสองที่มีหญิงสาวน่ารักเอ่ยปากคุยกับเขา ทำให้เขาไม่อาจริปฏิเสธพื้นที่แห่งนี้ได้
            เขาตอบเธอด้วยรอยยิ้มปนเขิน เธอเลิกคิ้วขึ้นราวกับบอกว่า ไม่เชื่อก็ตามใจ แต่เขาก็แอบเห็นรอยยิ้มที่ซ่อนไว้บริเวณมุมปาก
            ฝนเริ่มเบาลง ปรอยอย่างสม่ำเสมอ ลมสงบท่าทีลงมาก แต่สังคมก็ยังรับได้หากเขาจะใช้ข้ออ้างเรื่องฝนเพื่อยืนตรงนี้ต่อไป และดูเหมือนเขาอยากจะอ้างเช่นนั้น
            “มีทั้งร่มและเสื้อกันฝน ทำไมยังนั่งอยู่?” ด้วยบริบทแวดล้อมเช่นนั้น คงไม่มีใครอุตริตีความไปว่าเขาอยากจะให้หญิงสาวในเสื้อกันฝนรีบลุกแล้วเดินกางร่มกลับบ้านไป
            “ไม่ได้มาหลบฝน”
            “แล้วทำไมต้องใส่เสื้อกันฝน”
            เธอเหลือบมองเขาด้วยยิ้มมุมปาก สายตาและคิ้วท่าทีฉงน เขาตอบคืนด้วยรอยยิ้มจริงใจที่ทำให้ตาของเขาบีบเป็นเส้นเล็กๆ คล้ายสระอิ พลางใช้มือปาดน้ำฝนที่เกาะใบหน้า ร่างอันชุ่มแฉะก่อความเย็นเยียบไปทั้งตัว ทว่าหัวใจของเขายังเต้นได้ดี
            “มาดูฝน”
            ฟ้ามืดลง สวนทางกับแสงไฟนีออนแห่งเมืองหลวง เขายังคงอยู่ที่เดิม นั่งบนเก้าอี้ยาวสีขาวนั้นด้วยร่างเปียกชื้น เธอไปแล้ว พร้อมกับฝนที่คืนสู่ฟ้า ทิ้งไว้เพียงร่องรอยชุ่มฉ่ำตามพื้นบาทวิถี กิ่งก้านของต้นไม้ อาคารสูงใหญ่ รวมถึงหัวใจของเขา โดยไม่ฝากคำร่ำลา ดังคนไม่รู้จักกัน แต่นั่นก็ถูกของเธอแล้ว
           

2
            ชื่อว่าฤดูฝน แต่ไม่หมายความถึงฝนต้องเทลงทุกวัน บางวันอาทิตย์ยิ้มหน้าบาน ขณะที่คนเบื้องล่างคิ้วขมวด บางวันฟ้าขาวขุ่น เมฆฟูฟ่อง และนั่นหมายถึงการรอคอย คอยจนกว่าฝนจะตกอีกครั้ง ซึ่งฟ้าไม่ทำให้เขาคอยนานเกินสองถึงสามวัน
            เมฆครึ้มแต่เช้าตรู่ และฝนเทเมื่อตอนสาย ไม่รุนแรงแต่ส่งเสียงดังชัด เขากางร่มฝ่าไปยังสถานที่นั้น ก้าวเท้าย่ำไปบนพื้นนองน้ำอย่างละเมียดละไม ไม่ให้กระเซ็นมาถึงเสื้อยืดลายจอห์น เลนน่อน ตัวโปรด ต้นไม้ที่ปลูกไว้ข้างทางเพื่อซับควันพิษในเมืองกรุงยังเริงร่ากับน้ำฝนเช่นเคย มันสะบัดกิ่งก้านไปมาอย่างสำราญใจ
            เสื้อกันฝนคุ้นตากับเจ้าของคนเดิมปรากฏตัวให้เขารู้สึกสมหวัง เธอยังคงมองสูงไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย และหันสบตากับเขาทันทีที่รู้สึกตัวว่าเขามาใกล้ คิ้วของเธอแสดงอาการประหลาดใจเล็กๆ ก่อนหันกลับไปมองสายฝนเช่นเดิม
            ไม่มีสรรพเสียงอื่นใดนอกจากท่วงทำนองของน้ำฟ้าที่ตกกระทบวัตถุบนโลก ภาพชายหนุ่มร่างผอมยืนกางร่มใต้หลังคาพลาสติกบางนั้นยิ่งน่าขันเมื่อผสานกับสาวน้อยในเสื้อกันฝนสีหวานบนม้านั่งสีขาวข้างๆ
            เวลา ความสงบและหยาดฝนทำหน้าที่ของมันไปเรื่อยๆ จนเขาคิดว่าควรทำลายความเงียบนี้ลง
            “มาดูฝนหรอ”
            เธอหันหน้ามองเขา ดูคล้ายรอยยิ้มของเธอจะโผล่ออกมายากพอๆ กับฝนในฤดูหนาว เธอพยักหน้าเบาๆ แทนคำตอบ ทำลายความหวังในการเริ่มบทสนทนาของเขาลงอย่างสิ้นเชิง ก่อนจะสร้างมันขึ้นมาใหม่อย่างฉลาด
            “เราชอบเดอะบีทเทิลส์เหมือนกัน” เธอพูดถึงนักร้องนำที่สกรีนบนเสื้อยืด เขายิ้มอย่างปีติ และสานต่ออย่างมีชั้นเชิง
            “มิน่าถึงมองท้องฟ้า ลูซี่หรือ”
            “...” ดูเหมือนใบหน้าฉงนของเธอจะเป็นเรื่องปกติสำหรับเขาไปแล้ว
            “ลูซี่อินเดอะสกาย”
            เธอหัวเราะคิกคัก ทำให้เขาได้เห็นรอยยิ้มของเธอที่กว้างกว่าทุกครั้ง อาจจะไม่กว้างที่สุด แต่มันทำให้เขาพอใจ และกล้าเปิดบทสนทนาใหม่
            “ทำไมต้องดูฝน?”
            บทสนทนาไม่เป็นไปอย่างกระชับ หากเชื่องช้า และถูกแทรกด้วยช่องว่างแห่งความเงียบอยู่เนืองๆ แต่เขาไม่รู้สึกว่ามันเป็นความเงียบอันน่าอึดอัดเลย
            “เราชอบดูฝน พอๆ กับคนที่ชอบดูพระอาทิตย์ตก”
            “ตรงนี้หลบไม่พ้น ทำไมไม่ดูที่อื่น”
            “ที่อื่น ก็มีคนอื่น”
            “ดูด้วยคนได้ไหม?”
            สิ้นประโยคของเขาความเงียบแทรกตัวนานเป็นพิเศษ
            “ฝนตกเพื่อให้คนรู้สึกเหงา และโดดเดี่ยว ถ้าดูสองคนก็ไม่ได้ความรู้สึกนั้น”
             ความเย็นเยียบของบรรยากาศอันชื้นด้วยน้ำฝนยิ่งทวีความหนาวเข้าในหัวใจเมื่อเขาได้ฟังคำตอบ พลางรู้สึกเป็นส่วนเกินอาจทำลายปรารถนาสู่ความโดดเดี่ยวของเธอ
            “นั่งได้นะ... ถ้าเมื่อย”
            เขาอาจคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่รับมือยากคนหนึ่งทีเดียว แต่เขาต้องนั่งลงข้างเธอเท่านั้น เพราะไม่มีอะไรจะควรทำมากกว่าสิ่งนี้อีก แม้กางเกงยีนของเขาอาจต้องชุ่มน้ำฝนที่เจิ่งอยู่บนม้านั่ง และเขาอาจต้องเดินกลับบ้านด้วยความเปียกอับชื้นภายในก็ตาม
            ทั้งสองต่างมุ่งสายตาไปข้างหน้า มองไปยังเม็ดฝนที่โปรยลงมาราวคนบนฟ้าต้องการหว่านเมล็ดแห่งความชุ่มชื้นลงบนพื้นโลก ไม่มีช่วงไหนของชีวิตที่รอบกายและรอบใจของเขาจะชุ่มชื่นเท่านี้อีกแล้ว หากไม่ได้เข้าข้างตัวเองจนเกินไป เขาคิดว่าเธอกำลังอมยิ้ม...
            เม็ดฝนเริ่มหดตัว เสียงยานพาหนะ ความจอแจของผู้คนดังขึ้นแทนที่ ทุกอย่างย่อมมีวันเลิกรา โดยเฉพาะงานเลี้ยง และฝนตก
            เธอจากไปอย่างไม่รีรอเช่นเคย เพียงแต่ครั้งนี้ เธอเอ่ยคำลา
            เขาเดินยิ้มกลับบ้านอย่างคนบ้า


3
            หากฝนตกเป็นการแสดงอารมณ์ของท้องฟ้าและก้อนเมฆ คงไม่อาจแปลอย่างแคบๆ เพียงความหมายเดียว เพราะบางครั้งมันก็ตกอย่างน่ารัก พอให้ได้เย็นสบายราวกับหัวเราะ บางครั้งก็ตกอย่างชุ่มฉ่ำประหนึ่งร้องไห้ และในเวลานี้ มันตกอย่างเกรี้ยวกราด พร้อมเสียงคำรามกึกก้อง ลมกรรโชกรุนแรง เธอจะอยากมองฝนที่กำลังโมโหเช่นนี้หรือไม่... เขาคิด
            นั่นคือเหตุที่ทำให้เขาต้องสรรหาเสื้อกันฝนมาให้ได้ พร้อมร่มที่แข็งแรงพอจะลุยสถานการณ์นี้ไปให้ถึงจุดหมาย มันคือความเป็นห่วง หรือความโหยหา ไม่อาจมีใครบอกได้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ตาม
            แรงลมพัดต้านจนร่มเกือบหลุดมือเขาไปถึงสองครั้ง ฝนเม็ดใหญ่กระหน่ำใส่เสื้อกันฝนและใบหน้าละอ่อนอย่างไม่ปราณี เมฆทะมึนเบื้องบนลามไปทั่วท้องฟ้า ดังอสูรกายโกรธเกรี้ยว
             เพียงสิบก้าวก่อนถึงจุดหมาย แม้ม่านฝนกำบังแน่นหนา แต่เขารู้ดีว่าเธอนั่งอยู่ตรงนั้น ยังคงสม่ำเสมอในทุกอารมณ์ของฟ้าฝน แม้เพียงเสื้อกันฝนไม่อาจปกป้องได้ เธอยอมถูกชโลมด้วยหยาดฝน เพียงเพื่อได้เฝ้ามองมัน และคงดีไม่น้อยหากเขาได้เคียงข้างเธอในกาลนี้ บางทีเขาอาจแนะนำเธอให้ลองย้ายไปดูฝนในร้านกาแฟพร้อมเครื่องดื่มอุ่นๆ แทน
            แล้วภาพที่ดับความหวังของเขาให้หายไปกับเสียงห่าฝนก็ฉายขึ้น ประหนึ่งภาพยนตร์สะเทือนใจ เมื่อชายหนุ่มร่างสูง เจ้าของรูปร่างแบบสมัยนิยมกางร่มคันใหญ่เดินมาดมั่นเข้ามา เขาพูดคุยอะไรกับเธอนั้นคงมีแต่ฝนที่ล่วงรู้ แต่ไม่นานเขาก็จูงมือเธอเดินไปใต้ร่มคันใหญ่นั้น ห่างออกไปเป็นภาพเลือนรางของไฟท้ายรถเก๋งที่กระพริบเป็นจังหวะรอทั้งสองอยู่ เก้าอี้ขาวถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวกลางฝนที่กระเซ็นเซาะเข้ามาใต้หลังคาบาง บางทีเขาอาจเป็นแค่พี่ชาย หรือพ่อที่ไม่อยากให้ลูกสาวจับไข้ด้วยพฤติกรรมไม่จำเป็น หากแต่ชายหนุ่มในเสื้อกันฝนเพียงรู้สึกว่าเขาไม่อาจทำใจให้คิดเข้าข้างตัวเองเช่นนั้นได้อีก
            ฟ้าและฝนยังคงกระหน่ำลงมา มันตกจนร่มและหัวใจของเขาแทบละลาย


4
            คนเรามีโลกคนละใบ แต่เมื่อหลงเข้าไปอยู่ในโลกของใครสักคน เราอาจต้องติดอยู่ในนั้นอย่างช่วยไม่ได้ กระทั่งโลกใบนั้นไร้ซึ่งเจ้าของเดิมแล้วก็ตาม แต่เราจะยังคงอยู่ในโลกใบนั้นต่อไป อย่างเดียวดาย

            มีคนบอกว่าฝนตก “จั้กๆ”
            เขาเองก็เคยได้ยินเช่นนั้น แม้แต่ ซู่ ซ่า เปาะแปะ ก็แว่วหูมาบ้าง แต่ใครเล่าจะนิยามสรรพเสียงแห่งธรรมชาติได้คล้ายคลึงที่สุด
            บางทีอาจไม่ใช่ความจำเป็นที่ต้องนิยามห้วงเสียงเหล่านั้น เพราะยังมีสิ่งอื่นที่บอกได้ว่าฝนกำลังตก
            ไม่ใช่ความเปียกชื้น หรืออุณหภูมิ แต่เป็นความคิดถึงใครบางคน
                ภายในเสื้อกันฝนตัวนั้น เขายังคงนั่งอยู่ ในโลกของเธอ เฝ้าคิดถึงเจ้าของโลกคนเดิมที่ทำให้เขายังติดอยู่ไม่ไปไหน
                “ฮ้าดดด เช่ย!
            เขาติดโลกนี้เสียแล้ว


คาเมะคุง

วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

หากฉัน...

หากฉันไร้ซึ่งอินเทอร์เน็ต

ฉันจะมีตัวตนในโลกของเธออยู่ไหม?

หากฉันใช้อินสตาแกรมไม่เป็น

ฉันจะได้เห็นหน้าของเธอบ้างไหม?

หากฉันเข้าไม่ถึงเฟสบุ๊ก

ฉันจะรู้ว่าเธอสบายดีได้อย่างไร?

หากฉันไม่รู้จักไลน์

ฉันจะมีโอกาสคุยกับเธอแค่ไหน?

หากฉันโทรไปหา

คงรบกวนการกดหน้าจอของเธอมากไป

บางครั้ง ฉันสงสัย

เทคโนโลยีทำให้เราใกล้ หรือไกล

และหากฉันไม่เคยรู้จักมัน

ฉันจะมีความรักได้ไหม?



คาเมะคุง

วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ความเป็นเพศหญิงกับเรื่องกีฬา


            ทุกครั้งเมื่อมีมหกรรมการแข่งขันกีฬาต่างๆ ไม่ว่าจะซีเกมส์ โอลิมปิก เอเชียนเกมส์ ฯลฯ สิ่งหนึ่งที่เราเห็นนอกจากประเด็นการเชียร์นักกีฬาไทยทั้งหมดแล้ว เรายังเห็นบทบาทของเพศหญิงในการลงแข่งกีฬาประเภทต่างๆ ซึ่งจำนวนไม่ลดหลั่นไปกว่าผู้ชาย หากมองตามภาพลักษณ์แบบผิวๆ แล้ว ก็เห็นว่าน่าชื่นชมไม่น้อย
            ยิ่งเมื่อนักกีฬาหญิงประสบความสำเร็จมากขึ้น วาทกรรมหนึ่งที่มักผุดขึ้นมาให้ได้ยินกันคือ หญิงไทยเก่งไม่แพ้ชาย หญิงชายเท่าเทียม และอื่นๆ ที่มีลักษณะประมาณนี้ ซึ่งสะท้อนได้ว่าที่ผ่านมาประเทศของเราอาจยังมองผู้หญิงด้อยกว่ามาโดยตลอด แม้นายกฯ หญิงคนแรกของเราจะผงาดขึ้นทำหน้าที่อย่างสวยงามแล้วก็ตาม
            อย่างไรก็ตาม ลองวิเคราะห์เจาะลึกถึงรายละเอียดในเรื่องนี้ดู ผมค้นพบรอยแยกอะไรบางอย่าง
            ไม่ใช่รอยแยกทางกายภาพแบบนั้น (อย่าคิดลึก) ผมหมายถึงเรื่องความลักลั่นระหว่าง “เพศ” (Sex) และ “ความเป็นเพศ” (Gender)
            อธิบายง่ายๆ คร่าวๆ เลยว่า “เพศ” หรือ  Sex หมายถึงเพศทางกายภาพ ซึ่งมีสองเพศเท่านั้นคือชายและหญิง ตัดสินจากลักษณะของโครงสร้างร่างกายและอวัยวะ ส่วน “ความเป็นเพศ” หรือ Gender นั้นคือเพศตามการรับรู้ทางจิตวิทยาของคนๆ นั้น อาจมีมากกว่าหญิงและชาย คือเป็นเกย์ ทอม และอื่นๆ
            คำถามคือหากจะพูดถึงความเท่าเทียมระหว่างสองเพศ เราจะใช้เซ็กส์ หรือเจ็นเดอร์ ?
            จำได้ว่าครั้งหนึ่ง มีการแข่งขันฟุตซอลหญิง ซึ่งทีมจากไทยทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ ยังผลให้เกิดกระแส “หญิงไทยไม่แพ้หญิงใดในโลก” ขึ้นมา ฟังดูน่าสนใจ
            ผมจึงลองติดตามชมเกมดูสักครั้งว่าหญิงไทยของเราจะฝีเท้าร้ายกาจเพียงใด แล้วพวกเธอก็ทำให้ผมอึ้งไม่น้อย
            เปล่า เรื่องฝีเท้านั้นเก่งกาจแน่นอน แต่ไม่ถึงกับอึ้ง ที่ต้องตะลึงคือ หากใช้มาตรวัดด้วย “ความเป็นเพศ” เธอพวกนี้ล้วนไม่ใช่ผู้หญิง
            ครับ ทอมทั้งทีม (อาจไม่ทั้งทีม แต่เพื่ออรรถรส ขอเหมารวมเล็กๆ)
            สำหรับผมเองก็เคยมีประสบการณ์ใกล้ชิดกับเรื่องเช่นนี้อยู่ ครั้งหนึ่ง เพื่อนของพ่อรับงานเป็นโค้ชให้กับทีมฟุตบอลหญิงโรงงาน และชักชวนผมพร้อมพรรคพวกให้เป็นคู่ซ้อม สิ่งที่เห็นก็คล้ายกรณีฟุตซอลหญิงไทย คือผู้เล่นส่วนใหญ่เป็นทอม ซึ่งผมรู้ได้อย่างไรนะรึ เพราะหวานใจของพวกเธอ (หรือพวกเขาดี) ที่มานั่งเชียร์ข้างสนามนั้นแต่ละคนก็งามแท้ จนผู้ชายอย่างเราๆ เกิดตะขิดตะขวงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
            ดังนั้นความภูมิใจในฐานะ “เพศหญิง” จากฝีเท้าสาวหล่อเหล่านี้ จึงสะกิดใจ (ที่ไม่ใช่นามสกุลของป๋อ ณัฐวุฒิ) ของผมอย่างแรง
            เปล่า ผมไม่อาจล่วงล้ำกล่าวหาสาวห้าวเหล่านี้ได้หรอก ผมชื่นชมพวกเขา (หรือเธอดี โอ๊ย..) เสียด้วยซ้ำที่มีความสามารถในด้านที่ต้องใช้ทักษะและความแข็งแรงของร่างกาย ซึ่ง “เพศหญิง” นั้นบอบบางกว่าเพศชายโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เพียงแต่ผมอยากเห็นความภาคภูมิใจที่เกิดจากบทบาทความสามารถด้านกีฬาจาก “ความเป็นเพศหญิง” ที่มากกว่านี้
            ความเป็นเพศหญิงที่เป็น “หญิง” อย่างแท้จริง แต่งตัวแบบผู้หญิง ใส่กระโปรง แต่งหน้าทาปาก หรือทำกับข้าวเป็นแม่ศรีเรือน อะไรแบบนั้น ซึ่งอาจต้องยอมรับว่าวงการกีฬาไทยไม่ได้ขาดแคลน เพียงแต่อาจจะยังน้อยเกินไปในความรู้สึกของผม จากการได้รับชมฟุตบอลหญิง หรือนักกีฬาหญิงของประเทศอื่นหลายประเทศ ซึ่งพิจารณาในเวลาสั้นๆ แล้วตัดสินได้ว่าพวกเธอล้วนมีความเป็นเพศหญิงที่ไม่ใช่เพียงร่างกาย
            อาจด้วยวัฒนธรรมรักนวลสงวนตัวหรือเปล่าไม่ทราบ ที่ปลูกฝัง ยึดโยงหญิงไทยให้เติบโตผ่านประวัติศาสตร์มาด้วยความอ่อนโยน นอบน้อม ไม่ห้าวแข็ง จนถึงปัจจุบันก็ยังคงหลงเหลือ ติดพันในวิธีคิดของหลายๆ คน โดยที่ไม่มีใครรู้ตัวด้วยซ้ำ
            กับด้าน “หญิงห้าว” ที่มักมีบทบาทในเรื่องของกีฬามากกว่า ก็อธิบายได้ไม่ยากว่า หากเปรียบเทียบให้พวกหล่อน (ไม่รู้จะใช้เธอหรือเขา หล่อนซะเลย) มีความคิด พฤติกรรม ความรู้สึกเข้าใกล้เพศชายแล้ว ก็ไม่แปลกที่จะอยากเล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมที่ผู้ชายส่วนมากนิยม
            ผมไม่ได้ต่อต้านหากใครมองว่าจะทอมหรือไม่ทอม ก็เป็นเกียรติและความภูมิใจต่อเพศหญิงได้ หรือยึดคติว่า “หญิงไทยไม่แพ้ชายใดในโลก” เมื่อทีมฟุตซอลหญิงผมสั้นทำผลงานได้ดี แบบนั้นดีแล้วครับ เพราะไม่แน่ว่าภายในจิตใจของผู้ที่เกิดมาเป็น “สาวห้าว” ก็น่าจะมีแง่มุมบางอย่างที่แสดงออกถึง “ความเป็นเพศหญิง” อยู่บ้าง
            แต่ที่ต้องตั้งข้อสังเกตเพราะหากเทียบในตรรกะเดียวกันแล้ว “เพศชาย” ที่มี “ความเป็นเพศหญิง” ก็ต้องถูกนับรวมไปเป็นความภาคภูมิใจของเพศชายทั้งประเทศ เวลาพวก... (เขา/ เธอ/ หล่อน) สร้างวีรกรรมน่ายกย่องอะไรบางอย่าง
            เราอาจได้ยินว่า
            “ชายไทยเต้นอาโกโก้เก่งไม่แพ้ผู้หญิง”
            “ชายไทยแต่งหน้าเทพไม่แพ้ผู้หญิง”
            ฟังดูสยิวครับ
            เพราะคนเหล่านี้ไม่ต้องการให้นับตัวเองเป็นเพศชาย
            กับฝ่ายสาวห้าว ผมไม่แน่ใจว่าต้องการให้นับตัวเองเป็นผู้ชายหรือไม่ แต่ไม่ควรต้องการให้ตนเองเป็นหญิง จริงไหม ?
            ดังนั้นวลีว่า “หญิงไทยเก่งไม่แพ้ผู้ชาย” น่าจะมาจากผลงานของ “ความเป็นเพศหญิง” วลีดังกล่าวจึงจะสามารถดังได้อย่าเต็มเสียง ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไร
            เพราะขนาดเหรียญเงินโอลิมปิกเหรียญแรกของไทยในปีนี้ “น้องแต้ว” นักยกน้ำหนักหญิงในทรงผมห้าว ก็อาจนับไม่ได้ว่าเป็น “หญิง” เต็มตัว...
            อะไรนะ! แม่น้องแต้วยืนยัน 100 เปอร์เซ็นต์ว่าน้องแต้วเป็นผู้หญิง
            มีรูปถ่ายสมัยเด็กที่แต่งชุดหญิงไทยถือป้ายประจำโรงเรียนด้วย*...
            หญิงไทยไม่แพ้ชายใดในโลกจริงๆ ครับ


*ภาพอ้างอิง


คาเมะคุง