-->
ผู้อ่านคือลมหายใจของนักเขียน

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการขาย


                วันก่อนครับ...
            เปล่า ไม่ได้เล่นมุก อยากเล่าแบบจริงจัง
            วันนั้น ระหว่างที่ผมกำลังเดินอยู่บนสกายวอร์กบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อไปขึ้นรถตู้กลับบ้าน นอกจากฝูงชนที่เดินสวนกันไปมาอย่างไม่สนใจสิ่งรอบข้างแล้ว สิ่งที่สังเกตเห็นได้บ่อยๆ คือเหล่าวณิพกพเนจร
            เที่ยวเร่ร่อน~… ไม่ใช่! พวกเขาไม่ได้เที่ยวเร่ร่อน และไม่ได้ร้องเพลงแลกเศษเงิน (ดังนั้นไม่อาจเรียกว่าวณิพกได้เต็มปาก) แต่นั่งขอทานอย่างสงบ แต่งตัวซอมซ่อให้สมตำแหน่ง บางคนพิการน่าเห็นใจ
            หากนับการขอทานเป็นอาชีพ ก็คงคล้ายอาชีพค้าขายอย่างหนึ่ง เพียงแต่สินค้านั้นเป็นนามธรรม คือความน่าสงสาร น่าเวทนา น่าเห็นใจ
                หลายคนอาจเคยเห็นการส่งเสริมการขายของคนเหล่านี้ บ้างใช้กระดาษเขียนข้อความทำนองว่าต้องนำเงินไปรักษาโรคไต หรือมีแม่ป่วยอยู่ที่บ้าน บ้างบอกให้มวลชนรู้ชัดถึงอาการไม่ปกติของร่างกาย ดิฉันตาบอด ผมหูหนวก หากินแบบคนธรรมดาไม่ได้
            จุดนี้ไม่ได้เจตนากล่าวหาคนขอทานทุกคนว่าโป้ปด เสแสร้ง นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะสิ่งสำคัญที่อยากกล่าวคือ ส่งเสริมการขายแบบไหนน่าจะเวิร์กที่สุด
            พลันเหลือบไปเห็นขอทานวัยลุงคนหนึ่ง แกแต่งกายขี้ริ้ว เนื้อตัวเปรอะเปื้อน ดวงตามืดมิด แต่ชีวิตของลุงไม่รู้ว่ามืดมนแค่ไหน
            ลุงใช้เทคนิคคล้ายๆ เพื่อนร่วมอาชีพหลายคน เพียงแต่ต่างที่สาระสำคัญ กระดาษแข็งถูกเจาะรูเพื่อร้อยเชือกทำเป็นป้ายห้อยคอ อ่านได้ใจความว่า
            “ผมขอเงินพวกคุณคนละ 1 บาทเท่านั้น เพื่อไปซื้อข้าวกิน”
            เชื่อว่าปกติชนเวลาจะทำทาน หยอดเงินใส่ขันหรือภาชนะของขอทาน ไม่ได้มียอดจำกัดของงบประมาณที่จะใช้อย่างชัดเจน เพราะมันขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของจิตใจว่าต้องการให้หรือไม่
            หากแน่แท้แล้วว่าจะให้ แม้หน่วยเงินเล็กที่สุดในกระเป๋าสตางค์คือแบงก์ยี่สิบ ผมเชื่อว่าเขาก็ให้
            แต่ถ้าเกินยี่สิบ ก็อาจยากหน่อย บางครั้งเงินก็สำคัญกว่าบุญ
            การที่ลุงประกาศชัดเจนว่า ขอคนละ 1 บาทเท่านั้น มันสะกิดความรู้สึกหลายอย่าง คนที่ไม่ได้คิดจะทำทานอยู่แล้ว อาจฉุกคิดขึ้นมาว่า ลุงก็น่าสงสาร แค่บาทเดียวเอง แถมได้บุญด้วย
            คนละ 1 บาท กับจำนวนคนที่เดินไปมาบนสกายวอล์ก หากทุกคนเกิดพร้อมใจให้คนละบาทเข้าจริง มีหวังลุงได้เป็นขอทานที่เอาเงินล้านไปบริจาควันบ้างเหมือนกัน
            แต่ความจริงกับทฤษฎีนั้นไม่เหมือนการส่องกระจกที่ปรากฏภาพสะท้อนเหมือนเป๊ะ
            ลุงไม่ได้ขายดีขนาดนั้น เหตุผลหลักไม่น่าเดายาก
            คนขี้เกียจหยิบเงิน
            กระนั้นผมก็ยังเชื่อว่า หากทุกคนที่เดินผ่านไปมีเหรียญบาทกำไว้ในมือ - ลุงรับเละ
            คิดแบบทีเล่นทีจริง นี่อาจเป็นตัวอย่างของการทำการขายอย่างฉลาดของลุงคนนี้
            ไม่ได้นึกถึงเพียงการสร้างภาพลักษณ์ของสินค้า หรือโฆษณาสินค้าว่าน่าซื้ออย่างไร แต่วิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคไปด้วย
                ผมเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง กล่าวถึงคุณตัน ภาสกรนที และจุดเริ่มต้นโปรเจ็คท์ “ไปแต่ตัว ทัวร์ยกแก๊งค์” ที่แม้วันนี้คุณตันจะไม่ได้ทำงานที่โออิชิแล้ว แต่โปรเจ็คท์นี้ก็ออกภาคสอง ภาคสามมาเรื่อยๆ
                โครงการนี้เป็นรางวัลให้ผู้บริโภคส่งฝาเครื่องดื่มมาชิงโชค เพื่อนลุ้นตั๋วเครื่องบิน ซึ่งต่างจากของคนอื่นที่ ให้พาแก๊งค์ได้ด้วยได้ รู้สึกจะ 3 หรือ 4 คน ไม่แน่ใจ
            นอกจากนี้ยังออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดตั้งแต่การทำหนังสือเดินทาง ค่าเครื่องบิน ที่พัก รวมถึงให้เงินช็อปปิ้งไปซื้อของอีกเป็นกระตั้ก เรียกได้เต็มปากว่าไปแต่ตัวได้จริงๆ
            คุณตันบอกว่าเขานึกถึงความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก คนส่วนใหญ่อยากไปกับเพื่อน กับครอบครัว และไม่ชอบความยุ่งยากในการเตรียมตัวเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำหนังสือเดินทาง หรืออื่นๆ แล้วพอได้ไปเที่ยว เขาก็อยากซื้อของกลับไปฝากคนที่บ้าน
            คุณตันเลยจัดให้เต็มที่ และอย่างที่เห็น โครงการนี้ประสบความสำเร็จล้นหลาม
            กลับมาที่โปรเจ็คท์ของลุงขอทาน
            เปลี่ยนจากการเรียกลูกค้าโดยจุดขายของความน่าสงสาร เป็นคิดแทนลูกค้า
            ระหว่างคนละ 1 บาทของใครก็ได้ ที่อาจไม่ใช่คนใจบุญ เพียงแต่ไม่ซีเรียสกับเงิน 1 บาท กับนานๆ ทีในอัตรา 3 บาท 5 บาท ของผู้ใจบุญที่อยากให้จริงๆ (ซึ่งหายากขึ้นทุกทีในสังคม)
            ถ้าผมเป็นผู้บริโภค ก็คงเลือกซื้อสินค้าของลุง แม้ว่ามันจะไม่ได้จำเป็นสำหรับผม
            บางทีถ้าลุงไม่ได้ตาบอด หรือมีโอกาสชีวิตที่ดีกว่านี้ อาจได้เห็นหน้าลุงในบริษัทใหญ่ๆ บนตำแหน่งทางการตลาดก็ได้
            ว่าแล้วผมก็หย่อนเหรียญบาทลงในขันลุงดังกรุ๊งกริ๊ง
            แม้จะเป็นเงินที่น้อยเหลือเกิน น้อยจนแทบไม่มีค่าให้เสียดาย แต่พอคิดว่า ถ้ามีคนเห็นตรงกับผมหลายคน คงช่วยลุงคนนั้นได้พอตัว
            เดินมาถึงวินรถตู้ จนกระทั่งขึ้นนั่งในรถตู้ ผมก็ยังประทับใจในเทคนิคของลุงขอทานผู้นั้น ระหว่างนั้นก็แว่วเสียงแหลมจากเบาะข้างๆ เจ๊ร่างท้วมคนหนึ่งคุยกับเสียงในโทรศัพท์มือถือ
            “พี่เล็ก มี 5000 ให้ยืมก่อนไหม เดี๋ยวคืนให้วันจันทร์”
            ไม่ว่าใครก็ประสบปัญหาเรื่องเงินจริงๆ ตั้งแต่ชนชั้นกลางยันชนชั้นล่าง
            เจ๊วางสายทำหน้าผิดหวัง จากนั้นกดเลื่อนดูเบอร์อื่นที่มี ผมเดาว่าเจ๊พยายามหาเจ้าหนี้ที่เหมาะสม
            ถ้าเป็นลุงคนนั้น ผมเชื่อว่าเขามีวิธีที่ดีกว่า
            มีเบอร์โทร 20 คน ยืมคนละ 250 บาท ก็ได้ 5000 แล้วเจ๊

คาเมะคุง

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

รางวัลความสัตย์


            วันนี้เป็นวันดีที่อากาศสดใส ใบไม้ร่วงผล็อยจากกิ่งก้านทีละใบ ล่องเอื่อยต้านอากาศตกลงสู่ดินช้าๆ
            หญิงชราตื่นแต่เช้า กระชับไม้กวาดทางมะพร้าว ลากแกรกๆ ไปตามดิน เกี่ยวเก็บใบไม้แห้งมารวมให้เป็นระเบียบ ลมเย็นโชยมาเบาๆ  ไม่ถึงกับทำให้กองใบไม้แตกกระจาย
            อีกด้านของรั้วไม้บางๆ ที่กั้นระหว่างบ้านและกับช่องซอยเล็กๆ เสียงไร้เดียงสาแว่วข้ามมา
            “คุณยายครับ เก็บลูกบอลให้ทีครับ”
            เธอชะโงกหัวที่รวบมัดผมขาวไว้อย่างเรียบร้อยออกไปดู เด็กน้อยทำท่าตระหนกเมื่อเห็นใบหน้าเหี่ยวย่นแฝงด้วยความรู้สึกไม่เป็นมิตรของหญิงชรา
            เพียงภายนอกเท่านั้น หนูน้อย..
            เธอไม่เอ่ยคำตอบใด หากหันกลับไปมองหาสิ่งที่เด็กต้องการ
            ลูกบอลเล็กๆ ขนาดลูกเบสบอลสองลูกตกอยู่ใกล้กันภายในอาณาเขตรั้วไม้ ลูกหนึ่งใหม่เอี่ยมเรี่ยมเร้ อีกลูกมีอายุตรงกันข้าม
            เธอหยิบทั้งสองมาเป็นตัวเลือกให้เด็กน้อย จินตนาการว่าตัวเองเป็นดังเทพารักษ์งมขวานให้คนตัดฟืน
            เด็กน้อยยังบริสุทธิ์เกินกว่าความโลภจะครอบงำจิตใจได้ เขาแค่อยากได้ลูกบอลของเขาคืน จึงชี้ไม่ลังเลที่ลูกเก่าเขรอะ
            เธอสวมบทเทพารักษ์อีกครั้ง หยิบยื่นทั้งสองลูกให้เด็ก เป็นรางวัลความสัตย์
            ไม่ว่าโลกจะแย่แค่ไหน แต่ความไร้เดียงสาของวัยเยาว์ก็อาบหัวใจทุกคนให้ชุ่มชื่นได้ ไม่เว้นแต่วัยที่ตรงกันข้ามสิ้นเชิง
            เธอฉีกยิ้มให้เด็กน้อย เผยรอยเหี่ยวย่นมากกว่าเดิม ทว่าไม่เหลือแววของความใจร้าย
            เด็กน้อยกล่าวขอบคุณก่อนจากไป ทิ้งไว้เพียงความสดสุขสดชื่นให้หญิงชรา
            เธอภูมิใจที่มีส่วนปลูกฝังสิ่งดีงามให้โลกใบนี้ เด็กน้อยคนนั้นจะเติบโตเป็นคนที่ซื่อสัตย์ตลอดไป
            “คุณยายครับ”
            เสียงไร้เดียงสาเรียกเธออีกครั้ง แต่ไม่ใช่เสียงเดิม
            “เก็บบอลให้ผมทีครับ ผมทำหายเข้ามาในนี้เมื่อวาน เพิ่งซื้อไม่นาน ยังใหม่เอี่ยมอยู่เลยครับ”


*เค้าเรื่องเดิมจากส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง “My neighbors the Yamadas” ผลผลิตของ Studio Ghibli  

คาเมะคุง

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คำตอบ

ล้านหัวใจเฝ้ารอคำตอบ


ที่อาจไม่ตรงกับใจของทุกคน


ต้องมีทั้งคนที่ยิ้มและหัวเราะ


และที่ผิดหวัง เสียใจ


แต่จะคิดมากไปทำไม


เมื่อทางชีวิตไม่ได้มีเพียงเส้นเดียว


ไม่ใช่แค่พวกเธอที่ระทึกกับคำตอบ


แต่พวกฉันและคนทุกคน


ต่างระทึกกับคำตอบของทุกการเปลี่ยนแปลง


เราต่างเป็นแค่คนตัวเล็กๆ


จะทำอะไรได้


แต่ฉันก็คาดหวัง


ให้คำตอบนั้นตรงกับใจของทุกคน





คาเมะคุง

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การปรากฏตัวของคิวปิด


            บ่ายแก่ๆ ของฤดูกาลนี้คือช่วงเวลาที่ไม่มีใครคิดย่างเท้าออกนอกบ้านหากไม่จำเป็น เนื่องจากอยู่ในบ้านก็เป็นการย่างเท้าที่สุกพอควรแล้ว แม้ว่าท้องฟ้าจะโปร่งสดใสและมีลมพัดอ่อนๆ แต่เนื่องจากเป็นลมที่อ่อนมาก ประหนึ่งเพียงอากาศมันคลานเนิบนาบผ่านไป บวกกับไม่มีวี่แววของเมฆปุกปุยให้เห็น ดวงสุริยะจึงสามารถแสดงศักยพลังของมันได้อย่างเต็มที่ ความร้อนแผดเผาทุกสิ่งได้ไม้เว้นหนังศีรษะของคน ยิ่งเป็นผู้ที่มีเส้นผมอย่างพอเพียง ก็ยิ่งได้รับผลกระทบมากหน่อย แต่หากเป็นผู้ที่ละจากเส้นผมทั้งปวงแล้ว ศีรษะของเขาก็อาจจะสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อสะท้อนแสงเจิดจ้ากลับไปได้
            บังเอิญว่าเขาเป็นหนุ่มแน่นที่ยังไม่สามารถละจากกิเลสตัณหารวมถึงเส้นผมอันพอเพียงได้ ความร้อนของดวงอาทิตย์จึงมีผลต่อเขาไม่ต่างจากที่มันมีให้คนอื่น แต่ครั้งนี้ถือเอาว่าเป็นโชคดี หรืออาจเรียกว่าโชคประหลาดของเขาที่เลือกวันเวลาออกจากบ้านได้เหมาะ ท้องฟ้าที่แล้งเมฆมาหลายเมื่อเชื่อวันกลับถูกบดบังด้วยปุยนุ่นขาวโพลน แม้ว่าไอแดดอุ่นๆ จะยังส่งลงมาพอให้รู้สึกถึงฤดูร้อนที่ร้อนขึ้นทุกปีบ้าง แต่ก็นับเป็นปรากฏการณ์ที่น่ายินดีอยู่ไม่น้อย
            เขาเดินทอดน่องไปตามทางเท้าริมถนนเล็กๆ ในตรอกแห่งหนึ่ง แต่วันนี้แดดไม่แรงน่องของเขาจึงทอดไม่สุกดีเท่าไร ร้านค้ายืนเข้าแถวหน้ากระดานไปบนทางเท้าโดยไม่ต้องรอให้ครูฝึกตะเบ็งเสียง มีตั้งแต่ร้านขายสากกะเบือยันเรือรบ (ของเล่น) ผู้คนคึกคักและพลุกพล่านกว่าวันที่แล้วมานิดหน่อย อาจเนื่องด้วยฟ้าฝนที่เป็นใจ
            “วันนี้แปลกจริงๆ” เขาคิดในใจ
            ไม่ใช่เพราะสภาพอากาศหรอก แต่เป็นเพราะมีชายแก่คนหนึ่งที่นั่งอยู่บนม้านั่งสาธารณะแถวนั้น นั่งหลังค่อมโค้ง ช่างทำผมที่ชื่อว่าเวลาเป็นผู้ย้อมผมให้ขาวโพลน เขาถือไม้เท้าและสวมแว่นกันแดดทั้งที่วันนี้ไม่มีแดด พิสดารกว่านั้นคือมันเป็นแว่นกันแดดที่มีเลนส์ทรงหัวใจ เขาเรียกชายหนุ่มให้เข้าไปหาเพื่อขอความช่วยเหลือบางอย่าง ชายหนุ่มรับคำแม้จะสงสัยว่าอากาศที่ร้อนต่อเนื่องมาหลายวันอาจทำให้สติของลุงคนนี้เพี้ยนไป แต่เนื่องจากวันนี้อากาศดีจึงทำให้เขาอารมณ์ดี ยอมช่วยคนแปลกหน้าที่หน้าแปลกเพราะแว่นกันแดดอุบาทว์
            ชายแก่วานให้เขาไปยังร้านดอกไม้ที่ตั้งอยู่ห่างจากบริเวณนั้นไปไม่เกิน 50 เมตร แล้วซื้อดอกกุหลาบ 1 ดอกไม่จำกัดเฉดสี อ้างว่าจะนำไปเซอร์ไพรส์ภรรยาที่บ้าน แต่ด้วยสำเนียงเอกลักษณ์ของชาว “บังชราเทศ” ทำให้ฟังเป็น “สะไปร๊เมีย” นับเป็นโชคดีที่ชายหนุ่มไม่ใช่คนสติทึบทึมหรือเข้าใจอะไรยากนัก แต่ในวินาทีแรกๆ ก็เกือบจะไปซื้อน้ำอัดลมแทนอยู่แล้ว
            เขาเดินดิ่งไปยังร้านเป้าหมาย พลางอมยิ้มให้กับความเอ็นดูของคู่รักคู่นี้ ภรรยาของชายแก่จะเป็นผู้หญิงอย่างไร เขาใคร่นึกจินตนาการแล้วพลางถอนหายใจเบาๆ สมเพชให้กับดวงแห่งความรักของตนเอง
            เพียงไม่กี่ก้าวร้านดอกไม้ก็ปรากฏ มันตบแต่งด้วยสีโทนพาสเทล หน้าร้านมีดอกไม้หลายชนิดวางเรียง สลับสี แม้เขาจะไม่รู้เลยว่าเป็นพันธุ์อะไรบ้าง อาจเป็นทิวลิป คาร์เนชัน หรือหน้าวัวก็ไม่อาจรู้ แต่เขาก็สัมผัสถึงความงามและกลิ่นรัญจวนของพวกมันได้อย่างดี
            ตลอดชีวิตเขาเคยซื้อดอกไม้เพียงครั้งเดียว ในวันแห่งความรักของมัธยมปลาย วัยที่ความรู้สึกอันละเอียดอ่อนเริ่มปะทุ เขามอบกุหลาบแดงให้เด็กสาวที่เขาชอบด้วยอาการขวยเขินอันทรมาน (เป็นการเขินที่ห้ามสะกดผิดนะ) เป็นเรื่องแปลกที่คนนิสัยทะลึ่งทะเล้น และออกจะชอบเจ๊าะแจ๊ะกับผู้หญิงกลับทำตัวไม่ถูกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่เขาเทใจให้ทั้งสี่ห้อง หลังจากการมอบดอกกุหลาบครั้งนั้นแล้ว เขาไม่รู้ว่าจะสานต่อเรื่องราวอย่างไร ได้แต่เขินไปอายมา จนถูกผู้ชายคนอื่นที่ไม่ได้เกิดมาเพื่ออายคาบไปกิน ส่วนตัวเขาก็นั่งซดน้ำตาแห่งความขี้ขลาดของตนเองแทน นับแต่นั้นมาเขาพยายามหลบเลี่ยงหลุมรักใดๆ ที่จะดึงเขาลงไปสู่ห้วงแห่งความทรมาน และเหมือนเป็นโชคดี หรือร้ายก็ได้ ที่หลังจากนั้นไม่เคยมีผู้หญิงคนใดขโมยจิตวิญญาณแห่งรักของเขาไปได้อีก
            เพียงสินค้าหน้าร้านก็มากพอจะทำให้ไม่ต้องเสียเวลาเดินเข้าข้างในซึ่งมีที่ว่างน้อยกว่าจำนวนแจกันและช่อดอกไม้ที่ผ่านการตกแต่งมาอย่างประณีตราวน้ำจิ้มไก่ประนอม (ไม่เกี่ยว) แม้เขาจะไม่ค่อยรู้เรื่องดอกไม้ แต่ก็ไม่โง่พอที่จะลืมว่ากุหลาบรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ระหว่างที่สอดสายตาอยู่นั้น ภายในร้านปรากฏหญิงสาวสองคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายกันโดยละม่อม (เนื่องจากเป็นการคล้ายโดยนิ่มนวล ไม่มีการขัดขืน) เพียงแต่อายุอานามห่างกันราวแม่ลูก เพราะทั้งสองเป็นแม่ลูกกัน คนแม่เมื่อเห็นลูกค้าหนุ่มยืนด้อมมองอยู่หน้าร้านก็ส่งตัวแทนคือคนลูกออกไปต้อนรับ โดยปกติแล้วเธอจะหวงเพราะห่วงลูกสาวเป็นพิเศษ ไม่ยอมให้ได้คุยกับชายหนุ่มแปลกหน้าง่ายๆ เว้นแต่ช่วงที่เธอกำลังซีรีย์เกาหลีอยู่อย่างซีเรียสพร้อมชามเกาเหลาในมือและยังไม่ถึงช่วงโฆษณา
            ลูกสาว เธอเปิดประตูออกมาและส่งยิ้มงามระยับให้เขา พร้อมดวงตากลมใสสองดวงที่มีไฝเม็ดเล็กอยู่ใต้หางตาซ้าย
            ปัง! เขารู้สึกเหมือนโดนกระสุนความรักแล่นเข้ากลางหัวใจ ไม่เจ็บปวดแต่หัวใจกลับเต้นรัวเป็นจังหวะสม่ำเสมอราวเบรกแดนซ์
            “โอ้พระเจ้า! ไม่ใช่สิ นางฟ้า...” เขารำพึงในใจด้วยสีหน้าตะลึงงัน
            “เอาดอกอะไรดีคะ?” เธอพูดด้วยเสียงและใบหน้าสดใส
            เขาพยายามควบคุมสติและคิดประโยคแรกให้ออก มันต้องเป็นข้อความที่ดีพอจะทำให้วันนี้เขากลับไปนอนฝันดีได้ วันนี้อากาศดีนะครับ คุณน่ารักจังครับ คุณชื่ออะไรน่ะ มีแฟนหรือยังครับ นี่บ้านคุณหรอครับ คุณเรียนที่ไหน ผมอยากรู้จักคุณได้ไหมครับ จะรังเกียจไหมหากผมจะมีเบอร์ของคุณไว้ในเครื่อง ฯลฯ แล้วเขาก็ตัดสินใจรีดคำน่าประทับใจออกจากปาก
            “กุหลาบขาวดอกนึงครับ...”
            “หมดแล้วค่ะ เอาสีชมพูได้ไหม” เธอทำหน้าเหมือนอ้อนจะเอาอะไรสักอย่าง นั่นยิ่งทำให้เขาละเมอเพ้อพก จะพกเงินหรือพกอาวุธก็ไม่ทราบได้ แต่ที่แน่ๆ เขาไม่ได้พกความมั่นใจมาแม้แต่เสี้ยว อ้ำอึ้งอยู่เล็กน้อยก่อนจะตอบตกลง เธอยิ้มเล็กๆ ด้วยความดีใจ แล้วกุลีกุจอไปหยิบกุหลาบในร้านมาโดยไม่ให้เขาต้องบ่นว่ากูรีบ
            นี่คือเหตุผลที่เขาไม่อยากข้องแวะกับสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก ซึ่งเป็นเล็กแบบพริกขี้หนู - เจ็บแสบปวดร้อน เขารู้สึกไม่คุ้นเคย ไม่เป็นตัวของตัวเอง ความมั่นใจที่เคยมีอย่างเต็มเปี่ยมก็ลดดีกรีลงไป เขาไม่กล้าอวดอ้างตนไปทำความรู้จัก ได้แค่รับกุหลาบแล้วมองเธอหันหลังกลับไป เขาไม่ถูกกับความรู้สึกนี้เอาเสียเลย – ความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมานานนับแต่เขาให้ดอกไม้กับผู้หญิงคนแรกที่เขาชอบ ซึ่งหากไม่ถูกการยุแยงจากพลเพื่อนก็ขายบ้านขายรถเดิมพันได้เลยว่าเขาจะไม่มีวันทำเช่นนั้น จากนั้นพิษรักก็เล่นงานเขาจนอ่วม เรียกได้ว่าเป็นความรู้สึกที่เป็นอริกับเขาตั้งแต่เจอหน้าครั้งแรก
            เมื่อไม่มีธุระอันใดที่จะช่วยให้ยืนอยู่หน้าร้านดอกไม้ต่อไป เขาจำต้องถอยกลับออกมาอย่างเสียไม่ได้ และยังไม่ทันได้เสียด้วยซ้ำ เขาเดินระทวยด้วยอารมณ์ครึ่งๆ กลางๆ ที่ไม่อาจใช้การบรรยายด้วยตัวอักษร กลับไปหาชายแก่เจ้า เมฆขาวที่ลอยเต็มฟ้าและช่วยให้อากาศวันนี้รื่นรมย์ค่อยๆ ไสหัวและตัวของมันออกไป แสงอาทิตย์ส่องจ้าขึ้นเป็นปกติ ทำให้เขาต้องเอามือป้องเหนือคิ้วและหยีตาสู้แสง ในขณะที่ม้านั่งซึ่งเคยมีชายแก่นั่งอยู่ก็ไม่เหลือสิ่งอื่นนั่งอยู่ นอกจากม้าเท่านั้น กุหลาบชมพูจึงตกเป็นของเขาอย่างสุดวิสัย ตาแก่คงเลอะเลือนมากจริงๆ นั่นแล่ะ เขาคิด
            เขาใส่ดอกกุหลาบไว้ในแก้วน้ำและคอยเติมน้ำทุกวัน ครั้นจ้องมองมัน นวลหน้าสดใสของเธอก็ปรากฏขึ้นในหัว ทั้งหัวใจและหัวจริงๆ ยังไม่ถึงขั้นหัวอื่นๆ ที่ต่ำกว่านั้น (หัวแม่เท้า) ความคิดถึงช่างทรมาน เขาอาจลืมตัวเผยยิ้มอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้าเวลานึกภาพอากัปกริยาที่น่ารักและไม่เย่อหยิ่งในความงามของเธอ แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ไม่ถึงกับสุขและเป็นความทุกข์ที่ไม่ถึงกับเศร้า เขาแบกหน้าบางๆ ออกจากบ้านไปเดินตากแดดในวันที่ลงแดงด้วยความคิดถึง เพื่อจะได้ชมหน้าร้านดอกไม้ ซึ่งมองทะลุประตูกระจกเข้าไปข้างในก็จะเห็นสองแม่ลูกนั่งดูโทรทัศน์หรือคุยกันอย่างร่าเริงอยู่
            มีใครคนหนึ่งซึ่งเป็นตัวการและคอยเฝ้าดูผลงานที่ไม่ก้าวหน้าของตัวเองจนทนไม่ไหว...
            ในช่วงสายของสี่ถึงห้าวันให้หลัง ขณะที่เขากำลังเติมน้ำให้กุหลาบสุดที่รักอยู่ ใครคนหนึ่งก็กดออดที่ไม่ได้ร้องมานาน เขาเดินไปยังประตูหน้าบ้านก่อนจะแนบหน้ากับตาแมวประตูเพื่อดูให้แน่ใจว่าไม่ใช่พนักงานขายประกันหรือนักธุรกิจลูกโซ่
            “พัสดุครับ เซ็นรับด้วยครับ”
            เจ้าของบ้านเปิดประตูต้อนรับ ทำให้เขามองเห็นท้องฟ้าที่ปกติจะต้องโปร่งสดใสและมีแดดจ้า แต่วันนี้กลับถูกกองทัพเมฆบดบังไว้มิด คล้ายกับวันแปลกๆ วันนั้น
            ชายหนุ่มในเครื่องแบบที่ทำให้เชื่อว่าเป็นพนักงานส่งพัสดุก้าวเข้ามา ยืนประจันหน้ากับเจ้าของบ้าน เขาสะพายกระเป๋าสีดำเรียยาวไว้เบื้องหลัง ดูคล้ายกระเป๋าใส่อุปกรณ์เฉพาะทางอย่างกีตาร์หรือไวโอลินขนาดยักษ์ แต่นั่นยังไม่ประหลาดเท่ากับแว่นกันแดดที่ซ่อนสายตาเขา มันไม่เหมือนแว่นกันแดดทั่วไป แต่ชายหนุ่มคลับคล้ายคลับคลา
            “ไงเพื่อน ไม่เจอกันนานนะ” คนส่งพัสดุแสดงวาจาและพฤติกรรมที่อาจทำให้คนนอกเข้าใจว่าเป็นญาติมิตรชิดใกล้ที่เคยซื้อยาสีฟันใกล้ชิดมาฝากกับชายหนุ่ม นั่นทำให้เขารู้ตัวว่าชายผู้นี้ไม่ได้มีมุ่งหมายเพื่อส่งพัสดุอย่างที่อ้างไว้ เขาเริ่มรู้สึกร้อนเพราะโดนต้ม พลางคิดว่าจะทำอย่างไรกับหมอนี่ดี ไล่ออกไปแล้วปิดประตู หรือแจ้งตำรวจว่ามีคนบ้าบุกรุก แต่แว่นกันแดดประหลาดนั่นยังคาใจเขาอยู่
            “คุณเป็นใครครับ”
            ชายแปลกหน้าถือวิสาสะสอดสายตาเข้ามาในบ้านราวตำรวจที่พกหมายค้นมาด้วย
            “โอ้.. กุหลาบยังอยู่ดี เพียงแต่เฉาไปนิดนะครับ”
            บทสนทนายิ่งเพิ่มความตระหนกให้มากขึ้น เขาเน้นประโยคเดิมพลางเปลี่ยนสรรพนามให้เข้มแข็งและจริงจัง พร้อมตีสีหน้าเคร่ง
            “แกเป็นใคร”
            ชายแปลกหน้าเห็นสถานการณ์ตึงเครียดจึงเลิกทำทีเล่นทีจริง เปลี่ยนเป็นทำทีจริงให้มากกว่าทีเล่น แม้จะยังมีความเป็นทีเล่นอยู่นิดๆ ก็ตาม
            “โอเค อย่างเพิ่งใจร้อน ผมคือเจ้าของดอกกุหลาบดอกนั้นครับ” เขาพูดพร้อมกับใช้มือกระดิกขาแว่นให้เลนส์ด้านหน้าขยับขึ้นลงอย่างทะเล้นและเว้าวอนส้นเท้า จนชายเจ้าของบ้านระลึกได้ว่าแว่นอุบาทว์ที่มีเลนส์เป็นรูปหัวใจนั้นคือสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงกันระหว่างหมอนี่กับลุงเพี้ยนในวันนั้น แต่เขาคงไม่มีจินตนาการพอจะเชื่อเรื่องพรรค์นี้ ทั้งสองถกเถียงกันตามที่ควรจะเป็น แม้เจ้าของแว่นประหลาดจะพยายามยืนยัน (โดยไม่ใช้เท้า) ด้วยการเล่าเหตุการณ์ในวันประหลาดนั้นอย่างละเอียด แต่โลกในยุคที่วิทยาศาสตร์เฟื่องฟูเหมือนขนมปุยฝ้าย เรื่องแบบนี้จะทำให้เขาเชื่อได้จริงหรือ?
            ดังนั้นชายแปลกหน้าจึงสำแดงอิทธิฤทธิ์ ทำตัวเป็นกุมารด้วยการทำให้กุหลาบที่ค่อนข้างเฉาฟื้นคืนความสดชื่น เบ่งบานอีกครั้งเพียงแค่สะบัดอวัยวะบางส่วน ไม่ต้องถึงกับไปสัมผัส ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ตกใจอย่างที่ควรจะเป็น จึงเริ่มเชื่อว่าชายผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา แต่ความไว้วางใจไม่ได้เพิ่มขึ้น เขาจึงถามย้ำประโยคเดิมๆ โดยเปลี่ยนสรรพนามและน้ำเสียงให้ไพเราะกว่าเก่า
            “มึงเป็นใครวะ!!
            “ถ้าอยากจะรู้เรื่องราวให้กระจ่าง ผมก็พร้อมที่จะแถลงไข...”
            “มึงหยุดเลย ไม่ใช่โปเกม่อน”
            “ไม่ต้องรู้ลึกว่าผมเป็นใคร แต่ผมทำให้ใจสองดวงเชื่อมกัน ผมคือเจ้าหน้าที่ดูแลจัดการความรักของโลกใบนี้” ชายผู้นั้นยิ้มโชว์ฟันขาวเรียงตัดกับแว่นกับแดดเลนส์สีดำที่สะท้อนภาพเบื้องหน้าของเจ้าของบ้าน
            ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเอือมระอาเมื่อได้ยินการแนะนำตัวอย่างสำบัดสำนวน แม้ไม่อยากจะเชื่อแต่ต้องยอมรับว่าหมอนี่พยายามจะบอกว่าตัวเองเป็นกามเทพ
            “ไหนธนูกับลูกศรล่ะ”
            “ของแบบนั้นใครเขาจะใช้กัน” แมสเซ็นเจอร์กำมะลอพูดแล้วพลางหยิบกระเป๋าสีดำจากแผ่นหลังมาวาง เมื่อเปิดออกชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งเฮือกที่ได้เห็นดุ้นวัตถุน่าเกรงขาม
            “ไรเฟิล! นี่มันอาวุธสงครามนะโว้ย”
            “อาวุธคือสิ่งที่ใช้ทำร้าย แต่ไอ้นี่ใช้ทำรัก ผมใช้มันยิงเข้ากลางหัวใจตอนที่คุณสบตากับลูกสาวร้านขายดอกไม้ ความรักคือความสุขอันหอมหวานใช่ไหม เพราะฉะนั้นนี่ไม่ใช่อาวุธหรอกนะ”
            ชายหนุ่มกลับยิ่งตระหนักว่าไรเฟิลกระบอกนี้คืออาวุธร้ายอย่างแท้จริงต่างหาก การตกหลุมรักทำให้จิตใจร้อนรุ่ม กระวนกระวาย และขาดความเชื่อมั่น นอกจากนี้ยังอีกหลายครั้งที่คนต้องเจ็บปวดเพราะความรัก ดูท่าว่าชายผู้นี้แค่อวดอ้างว่าเป็นผู้รู้ดีในความรักทั้งที่ไม่ได้เข้าใจมันอย่างแท้จริงเสียเลย ชายหนุ่มจึงทักท้วงด้วยเหตุผลว่าความรักที่ทำให้เกิดความสุขได้ต้องเป็นรักที่สมหวัง ไม่ใช่รักข้างเดียว หากกามเทพยิงเขาก็ต้องยิงเธอด้วย มันถึงจะแฟร์เพลย์
            “เสียใจด้วยครับ กระบอกนี้ยิงได้ทีละครั้ง ครั้งละคนเท่านั้น จะยิงได้อีกครั้งก็ต่อเมื่อคนที่ถูกยิงก่อนหน้าสมหวังในความรัก หรือไม่ก็... ตาย” เขาพูดหน้าตาเฉย ปล่อยให้เหยื่ออาวุธร้ายยืนนิ่งตาลอยด้วยความคิดที่ว่าจะต้องอยู่ในหลุมรักอันระทมทุกข์ไปจนตาย โดยไม่คิดถึงวิธีทำให้หญิงสาวผู้นั้นหันมองมาที่เขาแม้แต่น้อย
            “คุณจะทำให้ผมต้องเป็นแบบนี้ไปทั้งชีวิตหรือไง ทำไมคุณไม่ยิงเธอแล้วให้ผมเป็นฝ่ายถูกตกหลุมรักแทน หรือไม่ก็ไปยิงคนอื่นที่ไม่ใช่ผม ผมไม่เคยต้องการความรัก และไม่อยากตกหลุมรักใคร ผมไม่คิดว่าความรักเป็นสิ่งสวยงามหรอกนะ ตราบใดที่คนเรายังร้องไห้เพราะรัก!
            เป็นถ้อยอารมณ์ที่ทำให้คู่สนทนาเงียบไปหลายวินาที และบังเกิดความประหลาดใจ เท่าที่เขาทราบมาคือมนุษย์โหยหาความรัก และหลายอย่างแสดงให้เห็นว่าความรักสำคัญต่อโลกใบนี้ แต่ชายผู้นี้เป็นเวิร์สต์เคสที่ประหลาด ชาติทหารทั่วไปเมื่อต้องใจหญิงคนใดก็แทบจะวิ่งเข้าใส่ ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อให้ได้เธอมาครอบครอง เห็นทีว่าชายหนุ่มผู้นี้คงเป็นได้แค่ชายชาติตำรวจ หรือชาติครูพละเท่านั้น
            “ทำไมคุณไม่ทำอย่างผู้ชายคนอื่นที่ตกหลุมรัก เข้าหาเธอ ทำความรู้จัก และยิงไรเฟิลแห่งความรักที่มองไม่เห็นสู่กลางใจเธอด้วยตัวเองเล่า”
            ชายหนุ่มเบือนสายตาหนีราวกับถูกฝ่ายตรงข้ามไล่จนมุม “คุณไม่ใช่ผมคุณไม่รู้หรอก”
            “รู้ไหมทำไมผมถึงต้องปรากฏตัวมาในวันนี้ เพราะผมทนเห็นพฤติกรรมกล้าๆ กลัวๆ ของคุณไม่ได้น่ะสิ ผมเป็นมือไรเฟิลมานานกว่าที่คุณจะจินตนาการออก และไม่เคยมีคนที่โดนกระสุนของผมต้องตายก่อนผมจะได้กระสุนใหม่ การที่คุณจะปล่อยให้ตัวเองตายไปพร้อมกับลูกกระสุนที่ยังฝังอยู่ในหัวใจถือเป็นการหยามเกียรติผมมาก”
            “แล้วทำไมไม่ไปยิงคนอื่นเล่า!
            “ผมเลือกเป้าหมายเองไม่ได้ เป้าหมายถูกกำหนดไว้แล้ว ผมไม่แน่ใจเหมือนกันหลักเกณฑ์ในการกำหนดเป้าหมายคืออะไร แต่เคยได้ยินรุ่นพี่พูดเอาไว้บ้าง ไม่รู้ว่าเชื่อได้แค่ไหน”
            “ว่าอะไรล่ะ”
            “ไม่มีมนุษย์คนใดปลอดภัยจากหลุมรักได้ถึงวันตาย”
            ความเงียบสาดเข้ามาห่าใหญ่ แม้แต่ยุงหรือแมลงภายในบ้านก็ไม่กล้าขยับปีกทำลายความเงียบที่น่าอึดอัดนั้นลง สีหน้าของชายหนุ่มถูกคลุมทับด้วยความกังวลราวกับได้สูญเสียความปกติสุขในชีวิตประจำวันไป อนิจจา ชายผู้ขลาดเขลาที่หวาดกลัวเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่อาจเคยร้องไห้เวลาไม่มีใครอยู่บ้านเป็นเพื่อน
“ผมมาวันนี้เพื่อช่วยคุณ จะแห้งตายไปแบบนี้หรือทำให้รักของคุณสมหวังล่ะ ไม่ต้องห่วง ตำแหน่งนี้ของผมไม่ได้มาเพราะโชคช่วย”
รุ่งขึ้นในวันถัดมา ยังคงเป็นวันที่แดดร่มลมเย็น เขายืนประจันหน้ากับร้านขายดอกไม้ด้วยใจที่ลอยหวิวราวลูกโป่งอัดฮีเลียม หากมันจะต้องถูกรั้งไม่ให้ลอยไปด้วยมือใครสักคน เขาหวังให้เป็นมือน้อยของเธอ
“เอาอะไรคะ?” คาดว่าแม่ของเธอคงจะยังไม่สำเร็จการชมซีรี่ย์เกาหลี และยังกินเกาเหลาไม่หมด เขาจึงมีโอกาสได้พบเธออีกครั้ง เรียวหน้าของเธอยังคงงดงาม ท่วงท่าบอบบางดั่งครั้งแรกที่เขาได้พบ เธอเลิกคิ้วและยิ้มเล็กๆ เหมือนจำเขาได้ ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปาก ก็มีบางเสียงดังเป็นพรายกระซิบในแก้วหู บอกบทให้เขาแบบก้าวต่อก้าว เสต็ปต่อเสต็ป
“ขอดอกรักครับ”
เธอขมวดคิ้วหน้าฉงน ขณะที่เขาก็ชะงักเมื่อรู้ตัวว่าพรายกระซิบได้ปล่อยมุกคลื่นไส้ออกมาอย่างไม่ละอาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เนื่องจากเขาเองไม่ได้เตรียมบทสนทนาไว้ในหัว เลยจำต้องเล่นบทรักตามผู้กำกับต่อไป ขณะที่สาวดอกไม้ (แต่ไม่มีนายกล้วยไข่ ถ้าต้องมี เขาอยากเป็น) เริ่มเดาทางบอลถูก
“ไม่มีหรอกค่ะ”
“งั้นขอเป็นรักอย่างเดียวได้ไหมครับ”
“สรุปว่าจะซื้อดอกอะไรคะ”
“ล้อเล่นนะครับ คุณชื่ออะไรหรอ”
“ทำไมล่ะคะ?”
“อยากรู้น่ะ บอกไม่ได้หรอ”
“ไม่ได้”
“แม่หวงหรอ”
“มากกกก”
“แค่ชื่อก็ไม่ได้หรอ”
“กลับไปเถอะ เดี๋ยวแม่เราสงสัย”
แล้วเธอก็หันหลังจากไปโดยไม่แยแสร่างไร้วิญญาณ (แม้ว่าเหมือนจะมีวิญญาณสิงอยู่ข้างหลังก็ตาม) ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังและเสียหน้าอย่างแรง เธอคงเห็นเขาเป็นแค่ไอ้งั่งคนหนึ่งไปเสียแล้ว เขาโกรธกามเทพกำมะลอที่ปั่นป่วนทั้งชีวิตและจิตใจของเขาอย่างเห็นเป็นเรื่องตลก
“ไหนคุณบอกว่าฉายานี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย! เห็นเป็นเรื่องตลกหรือไง เล่นกับจิตใจคนมันสนุกมากใช่ไหม เคยได้ยินแต่การเทพทำให้คนรักกัน ไม่เคยเห็นกามเทพที่ทำให้คนเกลียดกันอย่างคุณเลย”
กามเทพอะไรกัน ของแบบนั้นมีจริงที่ไหน ไม่เคยมีเพื่อนร่วมงานของเขาคนไหนที่เรียกตัวเองแบบนั้นด้วยซ้ำ เขารู้แค่สิ่งที่ต้องทำคือการสร้างแรงกระตุ้นบางอย่าง หลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่จะสานต่อสะพานรักด้วยตนเอง ชายที่ถูกเรียกว่ากามเทพคิดตัดพ้อ แต่เขาก็ไม่กล้าจะพูดออกไปเพราะความรู้สึกผิดปิดปากเอาไว้
“ขอร้อง ทำให้ผมพ้นจากความรู้สึกตกหลุมรักที”
เพื่อช่วยมนุษย์คนหนึ่งให้พ้นความทรมานซึ่งเขาเองอาจจะเป็นต้นเหตุ แม้จะด้วยความหวังดีหรือเพียงทำตามหน้าที่ก็แล้วแต่ เขาสัญญาว่าจะหาวิธีทำให้ชายหนุ่มพ้นจากความทุกข์ให้จงได้ แม้อาจจะต้องทำผิดกฎเจ้าพนักงานดูแลความรักก็ตามที นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ชายหนุ่มได้สื่อสารกับกามเทพ... หรืออาจเป็นมนุษย์ต่างดาว หรืออะไรก็ตามแต่ที่ไม่มีใครล่วงรู้ความจริง
วันเวลาเดินไปข้างหน้าเป็นเส้นตรง มันซื่อสัตย์กับแต่ละวินาทีเสมอ ไม่เคยหยุดหรือเดินช้าลง  
เขายังคงคิดถึงเธอเสมอ และหาโอกาสเดินไปโฉบผ่านหน้าร้านดอกไม้ของเธอเป็นกิจวัตร ซื้อดอกไม้บ้างบางโอกาส บางครั้งก็เป็นเธอ หรือเป็นแม่ของเธอที่โผล่หน้าสวยๆ (สวยทั้งคู่) ออกมาต้อนรับ ความรักของเขาไม่ลดลง แต่ก้อนเนื้อที่เคยเต้นป่วนอยู่ภายในทรวงอก บัดนี้มันกระตุกเบาๆ อย่างใจเย็น ความสาหัสที่เคยเผชิญครั้งนั้น บัดนี้มันเป็นเพียงความทรงจำที่ทำให้เขาอมยิ้มเมื่อนึกถึง เขามีความสุขที่ได้เห็นหน้าเธอ และเธอก็เห็นหน้าเขาบ้างในเวลาที่เขาอยากจะทะลึ่งเสนอหน้าไปให้เห็น
เวลาไม่ช่วยให้ลืม แต่มันช่วยบรรเทา
ฤดูที่ดวงอาทิตย์เป็นใหญ่หมดลง ช่วงเวลาแห่งเมฆฝนเข้ามาแทน ถนนและบาทวิถีมักจะเปียกชุ่มในยามบ่ายแก่ๆ อยู่เสมอ เขาเดินเลาะถนนเส้นที่คุ้นเคยพร้อมร่มโปร่งใสที่ทำหน้าที่ได้แค่หน้าฝน เพื่อโฉบผ่านหน้าร้านเดิม ป้ายรถเมล์กลายเป็นศาลาพักกายของคนที่ไม่ได้พกร่มออกมา พวกเขายืนเบียดเสียดและอาจริษยาชายหนุ่มที่เยื้องย่างอยู่กลางสายฝนได้โดยไม่หนาวเนื้อ
นับแต่กามเทพพิสดารหายหัวและหายตัวไปนับเดือน ชายหนุ่มก็ไม่พบเขาอีกเลย รวมถึงความเชื่อเรื่องพรหมลิขิตอันงมงายก็ไม่เคยปรากฏให้เห็นในหัวใจอันเปล่าเปลี่ยว แต่เขาอาจต้องทบทวนใหม่อีกครั้งว่าเขาจะเชื่อในลิขิตของอะไรดี พระเจ้า กามเทพ หรือซาตาน ที่ทำให้เขาเหลือบไปเห็นเธอภายใต้หลังคาป้ายรถเมล์
เธอแลดูเป็นกังวลกับหลายอย่าง ทั้งมือขวาที่หิ้วตระกร้าจ่ายตลาดสีชมพูน่ารัก ข้างในมีของจิปาถะคือวัตถุดิบสำหรับการทำครัว นั่นไม่แปลกเท่ามือซ้ายของเธอที่หิ้วมือเล็กๆ ของเด็กชายซึ่งอายุไม่ควรเกิน 5 ขวบ ใบหน้าขาวใสและดวงตากลมจ้องเขม็งที่ใบหน้าชายหนุ่มด้วยความไร้เดียงสา
เขาและเธอทักทายกันด้วยสายตาแปลกใจและยิ้มที่ไม่ปนเสแสร้ง
“ลูกหรอ น่ารักดีนะ”
“บ้าหรอ! ลูกชายเพื่อนแม่ ฝากมาเลี้ยง”
“ไปด้วยกันสิเรามีร่ม”
การที่เธอลังแลอาจไม่ใช่เพราะเธอรังเกียจหรือไม่ไว้ใจเขา ซึ่งชอบเสนอหน้ามาให้เห็นอยู่เป็นนิตย์ แต่เธออาจกลัวความเป็นหวง (ที่ไม่ใช่แค่ห่วง) ของแม่ หากเธอให้ชายแปลกหน้า... ความจริงก็อาจจะไม่แปลก แต่ไม่สนิท เดินมาส่งถึงบ้าน
“ฝนตก แม่ไม่ว่าหรอกมั้ง” ชายหนุ่มเอ่ยประโยคที่คิดว่าเป็นประโยคที่ฉลาดที่สุดในรอบหลายเดือน
สามชีวิตอันบอบบางซุกกันอยู่ใต้ร่มใส แม้แต่พระเจ้าหรือใครก็ตามที่ใช้ก้อนเมฆเป็นที่อาศัยก็อาจมองลงมาผ่านร่มเห็นภาพอันน่ารัก แม้หัวใจของชายหนุ่มจะเต้นเร็วและแรงขึ้นจากป๊อปเป็นร็อก แต่เขาเอาอยู่และรู้ว่าควรทำอะไร เธอยิ้มและหัวเราะชอบใจในบทสนทนาใต้เม็ดฝน ส่วนเด็กน้อยที่ได้สัมผัสมือเธออยู่ตลอดเวลานั้นก็รู้หน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี ไม่สอดความขี้สงสัยหรือเสียงร้องไห้ออกมาขัดบรรยากาศ เชื่อว่าในนาทีนั้นไม่มีใครในโลก หรือแม้แต่นอกโลกจะมีความสุขมากไปกว่าเขาเลย
เวลาแห่งความสุขผ่านไปอย่างผลีผลามเสมอ สีหน้าของเธอกังวลอีกครั้งกับท่าทีของแม่ที่เป็นห่วงเป็นหวงลูกสาวเสมอในเวลาที่ไม่มีซีรีย์เกาหลีออกอากาศ แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปโดยราบรื่น อาจเป็นเพราะแม่คิดว่าเขาไม่ใช่คนแปลกหน้า หรือไม่ก็เห็นว่าเป็นการกระทำของสุภาพบุรุษที่ดีต่อสุภาพสตรีเท่านั้น
“ปกติแม่ของเราดุมาก ยิ่งกับคนที่มาจีบนะ..” เธอกระชิบเสียงเบา เขายิ้มอย่างปลื้มปีติ ดูเหมือนกำแพงรักของเขาจะเตี้ยลงเรื่อยๆ และความเป็นไปได้ก็มากขึ้น แต่เขาจะไม่กระโจนเข้าใส่เธอหรือกระทั่งพยายามทำให้เธอชอบ เขาจะปล่อยให้เวลาและอะไรบางอย่าง อาจเป็นโชคชะตา พระเจ้า หรือกามเทพ ทำหน้าที่ของมันไป เพราะถึงวินาทีนี้ เขาได้เรียนรู้หลายอย่าง เขารู้ดีว่าความรักมันเอาแต่ใจและยากที่จะคอนโทรล
เธอยิ้มให้เขาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเป็นรอยยิ้มครั้งที่เท่าไร แต่มันไม่เคยทำให้เขาเบื่อเลย
“ขอบคุณมากนะคะ ไม่งั้นเปียกกันหมดแน่เลย โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กเนี่ย” แม่ที่หน้าถอดแบบให้ลูกมาพูดอย่างอ่อนโยนจนเขาไม่รู้สึกถึงความดุอย่างที่เธออ้างสรรพคุณไว้
“ชื่อน้องอะไรครับเนี่ย”
“ไหนบอกพี่เขาซิชื่ออะไรลูก” แม่ของเธอลูบหัวเด็กน้อยเบาๆ
เด็กจ้องเขม็งมาที่เขาและพูดด้วยสำเนียงไร้เดียงสาว่า
“ชื่อคิวปิดคับ”




คิวปิดคุง เอ้ย! คาเมะคุง