-->
ผู้อ่านคือลมหายใจของนักเขียน

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Carpe Diem


                “โง่”
            เปล่า ผมไม่ได้ด่าใคร อย่าเพิ่งฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด
            คำนี้เป็นคำวิเศษณ์ และเป็นคำพิเศษด้วย
            พิเศษตรงที่เมื่อคนอื่นมาพูดใส่ เราโกรธ แต่หลายครั้งเราพูดใส่ตัวเอง ไม่โกรธ เพียงเกิดความรู้สึกบางอย่างแทนที่ ความรู้สึกที่ทำให้หัวใจหดหู่ เสียดาย...
            แต่อย่างไรผมเชื่อว่าคนที่ด่าตัวเองด้วยคำนี้ เป็นคนฉลาด อย่างน้อยก็มากพอที่จะไม่โกรธจนชกหน้าตัวเอง หรือชกกำแพงด้วยอารมณ์เดือดดาลด้วยคำว่าโง่จากปากตัวเอง ซึ่งการที่ผมไม่กระทำเช่นนั้น แสดงว่าผมไม่ได้โง่จริงๆ ใช่ไหม (ใช่)
            โดยมากแล้ว คำนี้มักหลุดมาจากสมอง - ตรงเข้าหัวใจห้องขวาบน ทะลุล่างซ้าย ไหลไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายให้รู้สึกฉลาดขึ้น – ก็ตอนที่รู้สึกเสียดายบางสิ่ง
            บางสิ่งที่ไม่ควรจะพลาด
            ในฐานะคนชอบขีดชอบเขียน (อันที่จริงพฤติการณ์ทั้งขีด และเขียนนั้น ถูกรวบเป็นการเคาะแป้นพิมพ์ไปทั้งหมดแล้ว) แม้ไม่อาจอ้างตนเป็นนักเขียนได้ แต่ยอมรับว่าพยายามแทรกตัวเข้ามาเดินย่องๆ บนถนนสายนี้ การได้เข้าค่ายอบรมบ่มเพาะทักษะสำหรับเขียนหนังสือ ถือเป็นลาภอันประเสริฐ และอุปมาดั่งลาบที่อร่อย
            ไม่นานมานี้ TK Park ห้องสมุดสร้างสรรค์แห่งเดียวของประเทศ (ที่มีการสร้างสรรค์น้อยมาก) ได้หยิบยื่นลาภก้อนนั้นมา เพียงแต่มีข้อแม้ว่าแลกกับงานเขียนหนึ่งชิ้น ตามหัวข้อที่กำหนด ผมไม่รอช้าที่จะสร้างสรรค์ ปลุกเสกผลงาน... เพื่อที่จะดองมันเอาไว้ในฮาร์ดดิสก์และรอให้เลยกำหนดส่ง
            อันที่จริงแล้ว จะส่งผลงานวันไหนก็แล้วแต่ใจเจ้าของ เพียงแต่ต้องไม่เลยเถิดเกินวันที่เจ้าภาพกำหนด ซึ่งผมมันประเภทชอบบ่มงานไว้ก่อน เผื่อวินาทีสุดท้ายที่ยังเหลือ จะสามารถปรับแต่งชิ้นงานให้คมคาย บาดสมองคณะกรรมการได้มากขึ้น
            เวลาล่วงเลยไปจนเกือบวันสุดท้าย ปัญหาชีวิตบางอย่างดันทะลึ่งพรวดเข้ามาในห้วงอารมณ์ ผมไม่ได้อ้างว่านี่คือเหตุผล แต่มันเป็นสาเหตุของการ “ขี้เกียจ” ในตอนนั้น ที่ทำให้ผมต้องหยิบคำในบรรทัดแรกมาฟาดหัวตัวเองในวันนี้
            ความจริงแล้ว การณ์ทุกอย่างจะล่วงพ้นไปโดยไม่ส่งผลใดๆ กับชีวิต หากเพื่อนของผมไม่ทักทายผ่านเฟสบุ๊กมา
            “มึงได้ไปค่าย TK ไหม กูติดว่ะ”
            มันคือเพื่อนผู้หลงใหลในเส้นทางสายน้ำหมึกเช่นเดียวกัน และที่พิเศษกว่านั้นคือ ผมรู้จักมันจากค่ายนักเขียนเมื่อปลายปีก่อน - ค่ายอบรมการเขียนที่จัดโดยมติชนและ SCG ไม่ต้องบรรยายสรรพคุณให้มาก เพียงรู้ไว้ว่ามันคือห้วงเวลาที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต และทำให้ผมอยากไปค่ายนักเขียนอื่นๆ ทุกค่ายที่จะมีขึ้นหลังจากนั้น
            ทั้งนักเขียนชื่อดัง เพื่อนร่วมค่ายที่หัวใจรูปร่างคล้ายกัน อาหารการกินและที่พักสุดหรู ทิ้งท้ายด้วยความทรงจำซึ่งสามารถเบียดบังความประทับใจต่างๆ ก่อนหน้านี้ให้ชิดซ้ายไป
            หากมีคำที่อธิบายความรู้สึกได้เข้มข้นกว่า “เสียดาย” ผมก็อยากจะใช้คำนั้น
            มันทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์อื่นในชีวิต ที่มีจุดร่วมคล้ายๆ กัน จนคำว่า “โง่” ต้องเสริมส่วนขยายว่า “อีกแล้วนะ”
            ผมเคยดูคลิปวิดีโอการบรรยายของนักเขียนขวัญใจวัยรุ่นอย่างพี่เอ๋ หรือที่รู้จักกันดีในนามนิ้วกลม เขาพูดถึงเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้ และภาพยนตร์เรื่อง Dead Poet Society
            ตัวหนังจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญ (แต่แนะนำว่าควรดู) เราสนใจวลีหนึ่งในนั้น
            “Carpe Diem
            เป็นภาษาอะไรก็ไม่สำคัญอีก แต่ขณะนี้มันเป็นภาษาเขียน (เพราะผมเขียนเอา) โดยมีอีกนัยความหมายว่า “Seize the day” หรือ “จงฉวยวันเวลา”
            พี่เอ๋เล่าว่าในอดีตได้ตามจีบหญิงสาวรูปงามนางหนึ่งดั่งหมาวิ่งไล่เครื่องบิน เธอบินสูงสมเป็นเครื่องบิน
            วันนั้น เครื่องบินมีโปรแกรมไปเข้าค่าย ด้วยใจบริสุทธิ์และไม่เสแสร้ง พี่เอ๋อยากไปด้วย แต่เนื่องจากไม่มีแม้ครึ่งของคำเอ่ยชักเชิญ ความรู้สึกขั้นกลางอยู่ระหว่างความกล้าได้กล้าเสียและหวั่นเกรง แม้เก็บกระเป๋าเตรียมพร้อมแล้วก็ตาม (คล้ายๆ ใครบางคนที่เตรียมเรื่องไว้รอส่งอยู่แล้ว)
            เบื้องหน้าแววตากล้าๆ กลัวๆ นั้น เพื่อนรักของพี่เอ๋เข้าให้คำแนะนำอย่างฉลาด
            “มึงคิดดูนะ ถ้ามึงไม่ไปวันนี้ ตอนอายุ 60 ปี มึงจะกดโทรศัพท์มาบอกกูว่า ถ้าวันนั้นกูขึ้นรถไป...
            เพื่อนชี้หน้าพี่เอ๋ด้วยแววตามุ่งมั่นที่มีจุดรวมสายตาอยู่ที่ดวงตาทั้งคู่ของพี่เอ๋
            “คาร์เพเดี้ยม”
            เพียงแค่นั้น พี่เอ๋ลากกระเป๋าไปยังรถทัวร์
            เพียงเพื่อเจอเธอผู้นั้น และประโยคดีๆ ประโยคหนึ่ง
            “ไปก่อนนะ”
            ...
            พี่เอ๋เดินคอตกกลับบ้าน พร้อมกระเป๋าที่หนักกว่าเดิมด้วยน้ำหนักแห่งความเศร้าและเสียใจ
            “แต่ไม่เคยเสียดาย”
            เพราะหากเวลาผ่านไปจนอายุ 60 แล้วพบตัวเองอยู่กับคนที่ไม่ได้รัก เขาเสียใจกว่านี้แน่
            ในทางเดียวกัน หากผมเลือกส่งงานเขียนชิ้นนั้นไป ผมอาจไม่ได้รับคัดเลือก และถูกความรู้สึกบางอย่างย้อนกลับมาทิ่มแทงหัวใจด้วยคำว่าไร้น้ำยาเสียด้วยซ้ำไป
            แต่แน่นอนว่าจะไม่มีคำว่า “เสียดาย” และ “โง่”
            เพียง 1 วินาทีแห่งความลังเลใจของเรา อาจตัดสินทุกวินาทีชีวิตถัดจากนั้นได้
            ครั้งหน้าหากผมลังเลอีก ช่วยชี้มาที่สันจมูกของผมพร้อมตีสีหน้าจริงจังด้วยแววตาดุดัน และเอ่ยชัดๆ ในคำว่า

            “แคลเซี่ยม”
            ใช่ที่ไหนล่ะ...
            Carpe Diem! 




คาร์เพเดี้ยม!

วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ไม่เต็ม


            ในขณะนี้ ท้องฟ้าได้เปลี่ยนเป็นสีที่ไม่อาจคาดเดาเวลาได้หากว่าโลกนี้ไม่มีนาฬิกา ถ้าคุณเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัวว่านานแค่ไหน ตอนนี้มันอาจเป็นเวลาก่อนเช้ามืด หรือหลังพระอาทิตย์เพิ่งตกก็ได้ คุณไม่มีวันรู้ เพียงแต่น่าเสียดายที่โลกนี้มีนาฬิกา และผมไม่ได้เพิ่งลืมตาจากภวังค์ จึงรู้ว่าพระอาทิตย์เพิ่งตกไปหมาดๆ แต่อย่างไรแสงไฟจ้าจรัสจากเสาไฟฟ้าทำหน้าที่แทนแสงอาทิตย์ได้ดีเกินคาด
            เป็นธรรมเนียมธรรมดาที่หลังจากเกมในสนามจบลง เหล่านักเตะสมัครเล่นผู้หลงใหลในการเอาเท้าสัมผัสลูกกลมๆ จะใช้แรงที่เหลือกับการเดาะบอลเล่นเป็นกลุ่ม
            การเดาะบอลเป็นกิจกรรมที่ดูเหมือนง่ายๆ ชิลๆ แต่เอาเข้าจริงแล้วเป็นการละเล่นสำหรับผู้มีพื้นฐานฟุตบอลพอควรเท่านั้น ผมกล้ายืนยันข้อจำกัดนี้เนื่องจากเคยเห็นท่าทีการปฏิเสธกิจกรรมเดาะบอลอย่างหัวเสียของบางคน ที่ไม่ใช่ไม่เก่ง เพียงแต่เขาเก่งลูกบนพื้น
            จากเหตุผลบรรทัดก่อนหน้า ไม่แปลกที่สมาชิกชมรมเดาะบอลวันนี้มีเพียงสองคน แต่ผู้ชมที่เก่งลูกบนพื้นมากกว่ามีถึงสาม บรรยากาศเป็นไปอย่างสบายที่สุด แม้ต้องอยู่ในท่วงท่ายกแข้งขา แต่ผมและสหายเดาะบอลก็ยังร่วมวงสนทนาอันระรื่นได้โดยไม่ติดขัด
            ระหว่างที่การสนทนากำลังดำเนินไปด้วยเสียงหัวเราะหยอกล้อ และเล่นหัว (โดยไม่มีการสัมผัสหัวกันจริงๆ) ใครคนหนึ่งร้องขึ้น
            “งู!
            ภาพที่ปรากฏในจังหวะถัดมาเป็นการเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงของสามคนที่นั่งอยู่บนพื้นต่างระดับความสูงประมาณเหนือหัวเข่าเล็กน้อย ขาซ้ายทั้งสามข้างที่อยู่ในท่านั่งคล้ายนั่งเก้าอี้ถูกยกขึ้นในระดับเดียวกันพร้อมเสียงสะท้อนดัง “เห้ย”
            มันเป็นงูตัวเล็ก กะความยาวขณะที่มันงอตัวเป็นรูปตัว S ได้ประมาณปลายนิ้วกลางถึงข้อศอก การเคลื่อนไหวของมันน่าจะเรียกว่าสปริงตัวมากกว่าเลื้อย ทำเอาพวกเราสะดุ้งไปกว่าหนึ่งวินาทีครึ่ง ก่อนจะเหลือบไปเห็นเจ้าของที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของสัตว์น่าขยะแขยงนี้ด้วยไม้และเส้นเอ็นพลาสติกเล็กใส
            “เชี่ย งูปลอม”
            ลุงแก่เจ้าของงูบังคับที่ไม่ต้องใช้วิทยุยิ้มแบบยิงฟันแม้จะไม่เหลือฟันให้ยิงแล้วก็ตาม เสียงของรอยยิ้มนั้นไม่ได้ดังออกมาจริงๆ แต่ผมกลับได้ยินคำว่า “แหะๆ” ดวงตาทั้งสองข้างของแกบีบเป็นเส้นตามรอยยิ้ม ทำให้ไม่มีใครสามารถโกรธแกได้เลย พวกเราจึงหยอกล้อเล่นหัวกับลุงอย่างไม่สนวัฒนธรรมผู้หลักผู้ใหญ่
            อันที่จริงไม่ใช่พวกเราเป็นเด็กไร้สัมมาคารวะ เพียงแต่ท่าทีอันเป็นมิตรบวกกับคาแรคเตอร์และการแต่งกายของลุงนั้นชวนให้ต้องประพฤติไปตามนั้น เสื้อยืดสีแดงเก่าถูกทับอีกชั้นหนึ่งด้วยเสื้อกั๊กสีน้ำตาลอมเขียว กางเกงที่เซอร์มอซอจนดาราที่ชอบทำตัวเองให้ดูเซอร์ยังอาย ผมที่ถูกไฮไลท์โดยกาลเวลาจนเป็นสีเทาเสริมบุคลิกให้โดดเด่น ถัดจากมือขวาที่ถือคันบังคับงูไป เป็นมือซ้ายที่หิ้วถูกก๊อบแก๊บเต็มด้วยขวดพลาสติกเปล่านับสิบใบ
            “โถ่ลุง เอางูไปกัดใครเนี่ย” ผมพูดขึ้นอย่างเล่นหัว (โดยไม่ต้องสัมผัสหัวลุงเลย)
            “เอาไปกัดไข่ตำรวจ” ลุงพูดหน้าตาเฉย ดูดีๆ ก็ไม่เฉย เพราะแกยังยิ้ม “แหะ” เหมือนเดิม ทำเอาพวกเราฮากลิ้งไปตามๆ กัน (โดยไม่ต้องลงไปกลิ้งกับพื้นจริงๆ)
            ลุงเหลือบเห็นลูกบอลที่ผมและเพื่อนกำลังเล่นอยู่ แกวางไม้บังคับงูลงแล้วทำมือเป็นสัญลักษณ์ให้ส่งไปหาแก ผมตอบสนองให้โดยเล็งไปที่ขาขวา แต่แกกลับใช้แขนบริเวณศอกที่เป็นข้อต่อตั้งฉากกับพื้น คล้ายการเต้นท่าไก่ย่าง แล้วกระดกปีกให้บอลลอยขึ้น แต่เนื่องจากตรงนั้นไม่ใช่ที่ผมเล็งไว้ บอลจึงโดนไม่เต็มแขน และออกอาการเซ็ง แกขออีกลูก แต่บอลมีอยู่ลูกเดียวผมจึงส่งลูกเดิมให้ คราวนี้โดนเต็มๆ บอลลอยสูงสวยงาม พวกเราโห่ร้องให้กำลังใจด้วยเสียงที่ไม่อาจเขียนด้วยตัวอักษรให้ถูกต้องได้เสียทีเดียว แต่เขียนได้อย่างใกล้เคียงได้ว่า “หง้อออว”
            เมื่อเห็นพวกเราแสดงท่าทีอย่างเป็นมิตร ลุงทำเนียนผสมโรงชวนพวกเราคุยอย่างเป็นกันเอง แกเล่าถึงครั้งไปเที่ยวในกรุงเทพฯ แล้วเอางูบังคับไปแกล้งคนในห้างด้วยสีหน้าและน้ำเสียงภาคภูมิ ไม่แน่ใจว่าเสียงหัวเราะของพวกเรานั้นเกิดจากความตลกด้วยความเคารพหรือสมเพชกันแน่
            ขวดน้ำในมือของพวกเราบางคนว่างกลวงแล้ว ลุงเอ่ยขออย่างสุภาพ เก็บรวมเข้าถุงที่ล้นอยู่แล้วเป็นทุนเดิม แต่ก็พยายามยัดเข้าไปจนได้
            “เอาขวดไปทำอะไรเยอะแยะเนี่ยลุง” สหายร่วมวงคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างฉลาด ลุงตอบทันควัน แม้ว่าจะไม่ได้สูบบุหรี่อยู่ก็ตาม
            “เอาไปทำระเบิดปาตำรวจ”
            ดูเหมือนลุงจะไม่ค่อยชอบตำรวจเท่าไร จากการวางแผนโจมตีอันแยบยลตั้งแต่ใช้พิษงูเล่นงานจุดยุทธศาสตร์ หรือใช้ระเบิดขวดพลาสติกอัดอากาศเปล่าเข้าโรมรัน แว่วเหตุผลลางๆ มาว่าลุงแกเป็นขาประจำการชุมนุมของ นปช. หากนี่เป็นเหตุผลของความขัดแย้งกับตำรวจ เห็นทีความเชื่อเรื่องฝักฝ่ายของตำรวจอย่างที่หลายคนเข้าใจนั้น อาจต้องพิสูจน์ความจริงกันใหม่
            หรรษาฮาเฮกันได้พอหอมปากหอมคอ (โดยที่ไม่ต้องเอาหน้าไปแนบชิดปากและคอของลุงเลย) แม้ท้องฟ้าจะไม่ได้เปลี่ยนสีไป เนื่องจากมันเป็นสีดำกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ผมก็ตระหนักได้ว่าควรแก่เวลาที่จะกลับบ้านเสียที ผมส่งสัญญาณมือและใบหน้าให้เพื่อนซึ่งทางเดียวกันไปด้วยกัน ให้เคลื่อนย้ายบั้นท้ายจากพื้นตรงนั้นไปเป็นเบาะมอเตอร์ไซค์ ทิ้งลอร์ดออฟเดอะงูและสหายอีก 3 คนไว้ให้เฮฮากันต่อ
            “ลุงแม่งไม่เต็มว่ะ”
            ผมพูดเบาๆ พอให้สหายร่วมทางได้ยิน อารมณ์ยังเบิกบานอยู่กับการขำขันปนเวทนาในทอล์กโชว์สั้นๆ ของลุง หลายครั้งที่ผมพบเห็นคนลักษณะนี้ ผู้ที่ไม่กลัวต่อการแสดงออกประหลาดๆ หรือพูดคุยกับคนอื่นที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนอย่างกับโลกนี้ไม่มีพรมแดนของความแปลกหน้าอยู่เลย
            “แต่กูว่าลุงเขาเต็มนะ...”
            สีหน้าจริงจังบวกแววตามั่นคงนั้นกระแทกหัวจิตหัวใจของผมอย่างจัง (โดยไม่ต้องมีใครวิ่งมากระแทกหน้าอกแรงๆ เลย) ผมต้องฉุกคิดถึงทัศนะของตัวเองและเพื่อนอย่างที่คนฉลาดพึงจะคิด
            แท้จริงแล้วลุงไม่เต็ม หรือเราเกิน
            หรือจริงๆ แล้วไม่มีใครเต็มหรือขาดกว่าใคร
            ที่เราสามารถหัวเราะเยาะกับการกระทำของลุงได้ นั่นเพราะลุงได้ทำสิ่งที่คนส่วนมากไม่ทำ และเราก็ถือตนเป็นคนส่วนนั้นไม่ใช่หรือ
            เราเป็นคนส่วนมาก หรือเพียงทำตัวให้เป็นคนส่วนมาก ไม่พยายามประหลาดเพื่อให้คนมองด้วยสายตาเดียวกับมองตัวตลก
            การกระทำประหลาดที่ไม่มีใครทำอย่างบังคับงู เข้ามาพูดคุยกับคนไม่รู้จักอย่างสนิทสนม เหล่านี้ถูกเหมารวมเป็นพฤติกรรมของคนไม่ปกติ ทำไมน่ะหรือ เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าตนเองปกติ และตัดสินคนที่ไม่เหมือนตนเองว่าไม่ปกติน่ะสิ
            ลุงอาจน่าสมเพชสำหรับพวกเรา แต่กับพวกเราที่อุตริไปสมเพชคนอื่นโดยอัตโนมัติ เพียงแค่การกระทำที่ “ประหลาด” และ “แตกต่าง” น่าสมเพชเหมือนกันหรือเปล่า
            ผมไขกุญแจมอเตอร์ไซค์ กำเบรกด้วย 4 นิ้ว เว้นนิ้วโป้งไว้เพื่อกดปุ่มสตาร์ทเครื่อง ในเวลานั้นรอบข้างเงียบสนิท มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ที่ดังแล่นโดดขึ้นมาระหว่างห้วงความคิด แสงไฟจากเสาไฟฟ้ายังเจิดจ้า บดบังความมืดของท้องฟ้าอันไร้ตะวัน ผมเหลือบมองไปยังลุงและสหายที่ยังนั่งอยู่ วงสนทนาดูยังไม่คลายความรื่นรมย์
            “มึงแม่งเจ๋งว่ะ” ผมชื่นชมความคิดอย่างวีรบุรุษของเพื่อน ที่กระตุกอคติในจิตใจของผมให้สูญมลายไป
            “เจ๋งอะไร?”
            “ก็ที่มึงบอกว่าลุงเขาเต็มไง เป็นใครก็ต้องบอกว่าแกบ้าทั้งนั้นแล่ะ แต่มึงแม่งคิดนอกกรอบ เท่ว่ะ” สิ้นเสียงผมหันไปตบที่บ่าเพื่อนเบาๆ แต่หนักแน่นด้วยความศรัทธา
            “เต็มสิวะ มึงดูในถุง ไม่เต็มก็เหี้ยแล้ว ยัดเข้าไปขนาดนั้น คงได้หลายกิโลอยู่ล่ะ พลาสติกเดี๋ยวนี้ราคาดีด้วย กูว่าเก็บทุกวันก็เลี้ยงตัวเองได้สบาย เรามาเก็บขวดขายบ้างดีไหมวะ”
          ถุงก๊อบแก๊บที่บวมเป่งด้วยวัตถุภายในนั้นเคลื่อนไปมาตามแขนข้างที่หิ้วอยู่ กวัดแกว่งไปตามท่าทางประกอบการสนทนา มันล้นปรี่จนแทบจะทะลักออกมาสามถึงสี่ขวด แต่ลุงก็ใช้มืออีกข้างดันกลับเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง คนไม่เต็มที่ไหนจะจริงจังกับการหารายได้เสริมขนาดนี้?



คาเมะลุง เอ้อ.. คาเมะคุง

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ความฝันของอั๊ว


            เหนือรองเท้าเบรกเก้อ ที่ทำให้เบรกเลยเสียประจำ เพราะมันเก้อ ขาหมูเยอรมันสัญชาติไทยทั้งสองข้างก้าวอย่างเร็วสุดที่จะเร็วได้ เข็นทุกๆ กิโลของเจ้าของให้อุ้ยอ้ายไปยังบริเวณหัวกะโหลก กะโหลกที่ไม่ใช่กะลา แต่เป็นเขตครึ่งวงกลมหน้ากรอบโทษ โดยมีเสาคานและตาข่ายเบื้องหน้า ไอ้กอล์ฟ สิงห์อีซ้ายผู้มีผิวไม่มืดไปกว่าคืนข้างแรม และไม่สว่างไปกว่าภายในเปลือกตา ปาดบอลเข้ามายังจุดนัดพบที่ได้นัดกันไว้แล้ว แต่ด้วยความที่อีกฝ่ายต้องวิ่งถึง 80 กิโล (กรัม) ทำให้บอลนั้นกลิ้งเลยไป เมื่อเห็นทีว่าไม่ทัน เจ้าของ 80 กิโลก็พยายามพุ่งตัวสไลด์ ภาพที่ออกมาคือมาสคอตตัวหนึ่งกลิ้งหลุนไปตามพื้นหญ้า พร้อมชื่อท่าน่ากิน “หมูสไลด์”
            “โอ้โฮ! ลูกนี้ล้มลงไปในกรอบเขตโทษ กรรมการว่ายังไงครับ ไม่ฟาว์ลครับ! เบอร์ 86 พุ่งล้ม แหม้หัวหมู เอ้ย! หัวหมอจริงๆ นะครับลูกนี้ จะเอาจุดโทษ แต่ไม่อาจตบตากรรมการได้”
            ทันใด เจ้าของเสียงพากย์เมื่อครู่ก็อมนกหวีด (อมแค่ปลาย ไม่ใช่ทั้งหมด) แล้วเป่า โฆษกสนามแบบทูอินวัน รับควบเป็นกรรมการตัดสินไปด้วยในตัว ด้านข้างสนาม กองเชียร์สถาบันเดียวกับเรา และกองแช่งซึ่งสถาบันเดียวกับเราเช่นกัน เพียงแต่คนละอดีตห้องเรียน ต่างโห่ร้องปลุกอารมณ์ให้ทีมตน
            “อดีตปอหกทับหนึ่งจะต้องคว้าชัยนัดนี้ให้ได้” ไอ้กอล์ฟ – ผู้ฝันว่าจะเป็นนักบอลอาชีพไปเล่นลีกนอกเมืองให้ได้ หลังจบปอหกมันดั้นด้นตามความฝัน และเหมือนจะตามหาเจอ ผ่านไปกว่า 10 ปี กลับมาคืนสู่เหย้าครั้งนี้ มันพกดีกรีนักบอลตำบล และโวอย่างอุตริว่าสักวันจะไปโอวแท๊บเฝิดโดยไม่ใช่เด็กเก็บบอล – พูดอย่างกระเหี้ยน “ไอ้ตี๋ ทำไมลูกนั้นวิ่งช้านัก ฟังนะ เอ็งต้องวิ่งมาให้พอดีกับบอลที่ข้าเปิด ถ้าเอ็งวิ่งช้า บอลก็จะเลยไป แต่ถ้าเอ็งวิ่งเร็วเกิน บอลก็จะยังมาไม่ถึง”
            “เรื่องแค่นั้นอั๊วรู้น่า ก็วิ่งสุดแรงแข็งขันแล้ว ลื้อก็ส่งมาให้พอดีตีนอั๊วสิ ถ้าลื้อส่งมาช้าไป อั๊วก็จะวิ่งเลยไป และเบรกเก้อ ถ้าส่งเร็วไป อั๊วก็จะวิ่งไม่ทัน” ตี๋เล็ก – ที่ไม่เล็กอย่างชื่อ แต่เลื่องลือด้านน้ำหนัก ใครได้รักจักอบอุ่น หมกมุ่นการกีฬา คนบอกว่าหน้าไม่ให้ – พยายามเถียงกลับด้วยเหตุและผล
            “ตอนนี้สกอร์ยังเสมออยู่ศูนย์ศูนย์ อ้ายตี๋ (ความจริงอาจไม่ถูกนัก เพราะอ้ายเป็นภาษาไทยอีสาน แต่ตี๋เป็นภาษาจีน มันควรเป็นเฮียตี๋ แต่จะให้ผสมกันว่า อ้ายเฮียตี๋ ก็กลัวเกิดการผิดเพี้ยน เป็นคำด่าทอ หมางใจกันได้) ถ้าเอ็งยิงประตูชัยได้ น้องนิดหน่อยอาจจะวิ่งมากอดจูบลูบไคล้แสดงความยินดีกับเอ็งก็ได้ว่ะ คิกคิกคิก” ข้าพเจ้าพูดถึงน้องนิดหน่อย อดีตดาวห้องประจำปอหกทับหนึ่ง ผิวขาวหน้าใสตากลม ร่างบอบบางสมชื่อ แม้เวลาเปลี่ยนไป เธอไม่เปลี่ยนแปลงอะไรนอกจากน้ำหนักและสัดส่วนอันเลียบเคียงกับอ้ายตี๋อย่างพอฟัดพอเหวี่ยง จะฟัดกันก็สูสี จะเหวี่ยงกันก็น่าลุ้น
            ไอ้กอล์ฟหัวร่อมุกตลก ฝ่ายอ้ายตี๋นั้น ดวงตาที่ตี่สนิทของมันพยายามเบิกโพลงให้รู้ว่ากำลังตกใจหรือตื่นเต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วเราทั้งสองผู้ผอมกว่าต้องคลายความขันลง เมื่อประโยคที่แล่นตรงจากหัวใจ ออกสู่ริมฝีปากหนาของมันดังขึ้น “นั่นมันความฝันของอั๊ว...”
            แม้เอาเงินล้านกองตรงหน้า ลูกผู้ชายอย่างสองเราก็ยังไม่อาจดูถูกความรักบริสุทธิ์ของเพื่อนด้วยเสียงก๊าก ต้องกลั้นไว้ เพราะเราต่างก็เคยมีและเข้าใจในความรัก ไอ้กอล์ฟแยกตัวออกไปยืดกล้ามเนื้อ ข้าพเจ้าขอตัวอ้างไปทำธุระอันสำคัญในห้องน้ำ แต่นั่นไม่สำคัญกว่าการทำให้ฝันลมแล้งของเพื่อนผู้ตุ้มตุ้ยได้เป็นจริง
            “เธอจะช่วยเราเพียงเท่านี้ได้หรือไม่” ดวงตากลมใส่ใต้ขนตางอนงามนั้นยังคงเป็นของเธอคนเดิม สัดส่วนและชิ้นส่วนอื่นๆ มันเพิ่มเติมขนาดขึ้นมา
            “ใจคอเธอจะให้ฉันแกล้งทำเป็นชื่นชม แล้ววีดว้ายใส่ไอ้อ้วนกลมนั่นหรือ ฉันทำไม่ได้หรอก ยิ่งต่อหน้าเขา...” เธอพูดราวกับความอ้วนกลมนั่นไม่ใช่ของเธอ พร้อมชายตาตรงไปยังเพื่อนข้าพเจ้า ที่กำลังอยู่ในท่าฉีกแข้งฉีกขา ตายจริง (แต่ยังไม่ตายจริงๆ) นี่รักสามเศร้าหรอกหรือ ดีล่ะ
            “มันเป็นความต้องการของกอล์ฟด้วย เขาใช้หัวใจบุรุษทุ่มเททุกอย่างเพื่อความฝันเล็กๆ ของเพื่อน หากเธอยอมทำให้เต็มที่ เขาสัญญาว่าจะออกเดทกับเธอหนึ่งสัปดาห์”
            “เธอพูดจริงหรือ...” ข้าพเจ้าใช้สายจริงจังอันเจ้าเล่ห์สบกับดวงเนตรประกายใต้ขนตางอนนั้น อย่างไรไอ้กอล์ฟไม่ได้รักเธอ อ้ายตี๋สิคู่ควร ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนเป็นพระเจ้าที่กำลังจะบันดาลให้ฝันของเพื่อนเป็นจริง
            ก่อนครึ่งหลังจะเริ่ม ข้าพเจ้าปรึกษาแผนก่อการรักกับไอ้กอล์ฟ ไม่ว่าฟ้าจะถล่ม ดินจะสลาย น้ำลายจะฟูมปาก ต้องปั้นให้อ้ายตี๋เกิดในวันนี้ให้ได้ อย่างน้อยหนึ่งประตู แล้วเซอร์ไพร้ก็จะมาให้ทุกคนเห็นเอง
            “ครึ่งหลังเริ่มขึ้นแล้วครับ แหม้... เปิดเกมมาหกทับหนึ่งก็รุกแหลกเลยครับ บอลอยู่ที่เจ้ากอล์ฟ ดีกรีนักบอลจังหวัด เลี้ยงลูกไปแล้ว แหม้... เจ้ากอล์ฟนี่เลี้ยงคล่องนะครับ ไปไหนไม่เคยล้ม เพราะสีค้ำ” โฆษกและกรรมการสนามบรรยายอย่างน้ำท่วมทุ่ง ฝ่ายเราโหมกระหน่ำ ไอ้กอล์ฟใช้ความเป็นนักฟุตบอลของมันเอาเปรียบฝ่ายตรงข้ามด้วยการเลี้ยงหลบสบายๆ ส่งใส่พานก็แล้ว ใส่กะละมังก็แล้ว ใส่ถังก็แล้ว แต่การจบสกอร์ของอ้ายตี๋ก็ยังกินผู้รักษาประตูไม่ลง เพราะไม่ใช่ของกิน และต้องเป็นลูกส่งแบบใส่จานเท่านั้น ถึงจะน่ากิน
            “ลูกนี้เจ้ากอล์ฟหลุดมาอีกครั้ง ส่งไปยังพื้นที่ว่าง เบอร์ 86 กางมุ้งรออยู่แล้ว แหม้... ไม่ทราบว่า 86 นี่เป็นเลขของน้ำหนักหรือเปล่า อ๊ะ! ยิงไปแล้วครับ บอลพุ่งกำลังจะเสียบสามเหลี่ยม แต่ผู้รักษาประตูตะครุบบอลไว้ได้... ไม่ใช่ครับ ตะครุบเบรกเก้อไว้ได้ แหม้... ผูกเชือกไม่แน่นก็ต้องเจออย่างนี้ แล้วบอลล่ะครับ อ้าว เข้าไปแล้ว เหลือเชื่อ เหลือเชื่อจริงๆ ครับ ถึงกับถอดเสื้อดีใจเลยครับเบอร์ 86 ที่เด้งๆ นั่นท้องนะครับ ไม่ใช่กระเป๋าเป้... แต่เดี๋ยวครับ โอ้โฮ เป็นเรื่องแล้ว ฮูลิแกนสาววิ่งลงมาป่วนสนามครับ พุ่งเข้าใส่แล้ว แหม้... สูสีจริงๆ ”
            ร่างเนื้อทั้งสองกระเพื่อมไปในทิศเดียวกัน ราวคู่กระต่ายน้อยในฤดูเกี้ยวพาราสีที่กระโดดไล่หยอกเล่นกันท่ามกลางทุ่งแดนดิไลออน เสียงชื่นชมยินดี “ก๊ากๆ” “ฮ่าๆ” “เคี๊ยกๆ” และอื่นๆ ดังก้องจากรอบทิศ ข้าพเจ้าและไอ้กอล์ฟไม่สามารถยืนชื่นชมอย่างคนปกติได้ ต้องกลิ้งเอาเท่านั้น
            “สงสัยอ้ายตี๋มันจะเขินว่ะ หนีใหญ่เลย” พลันนั้นอ้ายตี๋หันหน้าวิ่งตรงมา ใบหน้าปวดร้าวดั่งถูกอสูรล่า
            “อะไรกันวะเนี่ย ช่วยอั๊วด้วยยย” ได้ยินคำไม่เข้าท่าจากปากของมัน ไอ้กอล์ฟจึงตะโกนไป
            “ความฝันเป็นจริงแล้ว หรือยังไม่เร้าใจพอ” ทันทีที่อ้ายตี๋รับรู้ว่าเป็นแผนการอันหวังดีของเราทั้งสอง หน้ามันก็แดงก่ำขึ้น หายใจหอบระริน แต่ก็ยังฝืนตะโกนออกมาอย่างยืดยาว
            “เมื่อวานอั๊วฝันว่ายิงประตูได้ แล้วอีอ้วนนี่ก็วิ่งลงมาในสนามจะปล้ำอั๊ว ความฝันน่ะใช่ แต่ฝันร้ายโว้ย!
            ยังไม่ทันที่เราจะคลายจากความช็อกสะมอเร่ อีกเสียงหนึ่งไล่หลังตามมา พุ่งตรงไปยังไอ้กอล์ฟ
            “อย่าลืมสัญญาใจของเรานะค้าที่ร้ากกก”
          ข้าพเจ้าบอกสหายข้างกายว่า ขอตัวไปทำธุระอันสำคัญในห้องน้ำ


คาเมะคุง