-->
ผู้อ่านคือลมหายใจของนักเขียน

วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทศกัณฐ์ลิขิต


            “เจอกันครั้งแรกเขาเรียกพรหมลิขิต เจอกันครั้งที่สองเขาเรียกบังเอิญ...”
            เปล่า... ผมไม่ได้พิมพ์ผิด นั่นคือประโยคก็อปปี้จากภาพยนตร์รักที่ออกจากปากของเพื่อนผม เพื่อนที่ชอบสรรหาถ้อยคำเนี้ยบๆ คมๆ มาพูดให้บาดหูคนอื่นเล่น (บางครั้งก็คมไม่พอ บาดไปก็ไม่เข้า กลายเป็นแผลถลอก) แต่คราวนี้มันก็อปปี้ไม่แนบเนียนเลยมีการสลับที่ระหว่าง “พรหมลิขิต” กับ “บังเอิญ”
            “แบบนี้กูขึ้นรถเมล์ที ก็เจอพรหมลิขิตทั้งคันเลยดิวะ” ใครคนหนึ่งโพล่งออกมาให้เจ้าของประโยคขายหน้าด้วยเสียงหัวเราะเยาะเย้ยก้อนใหญ่ ก่อนผมจะแก้ต่างให้
            “เจอกันครั้งแรกเรียกบังเอิญ เจอกันครั้งที่สองเรียกพรหมลิขิตโว้ย!

            ผมไม่ได้ชอบหรือศรัทธาประโยคนั้นเป็นพิเศษ แต่ฟังดูแล้วก็เข้าท่าดี เผื่อว่าได้เจอคนที่ถูกใจเป็นครั้งที่สอง จะลองนำไปใช้ดูว่าได้เรื่องหรือได้เลือด
            จากประโยคเบื้องต้น พรหมลิขิตของการเจอกันครั้งที่สองน่าจะหมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นโดยมีความน่าจะเป็นเพียงน้อยนิด โลกนี้มีประชากรกว่าหกพันล้านคน การพบหน้าคนๆ เดียวกัน (ที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ไม่ใช่เพื่อนร่วมงาน ร่วมโรงเรียน ร่วมหอลงโรง ฯลฯ) ถึงสองครั้งในชีวิต ว่ากันตามหลักการ (แบบโง่ๆ) โอกาสคือหนึ่งในหกพันล้านยกกำลังสอง ช่างกระจ้อยร่อยจนแทบเป็นไปไม่ได้ จึงไม่แปลกที่จะอนุมานไปว่ามี “บางอย่าง” ที่บันดาลชักพา และดลให้มาพบกันทันใด
            แต่แล้ว...
            วันหนึ่งขณะรอรถเมล์อยู่ที่ป้าย ผมพบหญิงสาวคนหนึ่ง เธอผิวขาว ตัวเล็ก ใส่แว่นกรอบใหญ่ อายุมากกว่าผมเล็กน้อย เราขึ้นรถเมล์คันเดียวกัน รุ่งขึ้น ผมไปที่ป้ายรถเมล์ในเวลาเดิม ผมเจอเธออีกครั้ง เราสองสบตา แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกจั๊กจี้หัวใจแต่อย่างไร นึกถึงประโยคที่เพื่อนพูดก็พลางรู้สึกว่า "พรหมลิขิตนี่ไม่ค่อยตื่นเต้นเลยนะ"
            พอถึงวันที่สามผมจึงเข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องโรแมนติกของพระเจ้าหรือพรหมลิขิตอะไรหรอก เพราะผมเจอเธออีกครั้งในที่เก่าเวลาเดิม วันที่สี่หรือห้าผมก็ยังเจอเธออีกจนกลายเป็นเรื่องปกติ วันไหนที่ไม่เจอจะรู้สึกมหัศจรรย์กว่า เพราะชีวิตประจำวันและสถานการณ์ที่บังคับทำให้ผมต้องพบเธอตรงนั้นในเวลาเดิมอยู่ทุกวัน หาใช่ความปรารถนาของกามเทพ
            การเปรียบเทียบระหว่างความบังเอิญและพรหมลิขิต ทำให้สองสิ่งถูกแยกจากกันทั้งที่ผมรู้สึกว่ามันคือเรื่องเดียวกัน แต่ใครสักคนก็อาจแย้งว่าพรหมลิขิตคือโชคชะตาที่ถูกขีดเส้นไว้แล้วด้วยอะไรบางอย่าง ก่อให้เกิดความรักความสวยงาม และอื่นๆ อีกมากมาย ฯลฯ บลาๆ ส่วนบังเอิญก็คือ...บังเอิญไง
            เพื่อนผมเรียกการเจอกันครั้งที่สองว่าพรหมลิขิต (เพราะมันเชื่อที่หนังพูด) หากเช่นนั้นผมจะเรียกการเจอกันครั้งที่สาม สี่ ห้า ว่าอะไรดี พระพรหมมี 4 หน้า มากกว่านั้นก็คงเป็น... ทศกัณฑ์ซึ่งมี 10 หน้า ใช่แล้ว! นี่คือ “ทศกัณฐ์ลิขิต”... ฟังดูไม่ค่อยโรแมนติกเท่าไร
            บางทีอาจไม่ต้องรอถึงสองครั้ง สมมติถึงหญิงสาวคนหนึ่ง และชายหนุ่มรูปงาม เพียงแรกพบเธอสบตาเขาก็รู้สึกซาบซ่า ดังสวรรค์บันดาลคู่ใจมาให้ เธอเรียกสิ่งนั้นว่าพรหมลิขิต แต่โชคไม่ดีที่เขาไม่ลิขิตด้วย และเรียกสิ่งนั้นอย่างเลือดเย็นว่าความบังเอิญ
            บางคู่รู้จักกันตั้งแต่ยังเป็นเฟรชชี่ พอใกล้สิ้นสุดปี 4 กามเทพเพิ่งนึกได้ว่าต้องแผลงศร ฉากรักจบลงเอยสวยงามในตอนท้าย เราอาจเรียกสิ่งนั้นว่าการเรียนรู้ที่ยาวนาน แต่พวกเขาเรียกมันว่าพรหมลิขิต
            บางคนเลิกรานับสิบ สุดท้ายเจอตัวจริงของหัวใจ เราเรียกสิ่งนั้นว่าการคัดเลือก แต่เขาก็ยืนยันว่าพรหมลิขิต         
            บางวันเราเจอคนที่ชอบโดยไม่นัดหมาย ยังไม่ทันเอ่ยปากทักทาย เธอบอก “บังเอิญจังนะ...” ทั้งที่ใจเราบอก “แม่งพรหมลิขิตชัดๆ”
            ดังนั้นต่อให้เป็นคำเดียวกัน แต่เมื่อถูกใส่ในกล่องความรู้สึกคนละใบ คุณค่า น้ำหนัก และความหมายก็เปลี่ยนไป
            อาจไม่สำคัญว่าเราจะเจอกันกี่ครั้ง นี่เป็นครั้งที่เท่าไร เป็นพรหมลิขิตหรือความบังเอิญ แต่สำคัญว่าเมื่อพบกันแล้ว สบตากันแล้ว รู้จักกันแล้ว เรารู้สึกต่อกันอย่างไร บางคนอาจรู้สึกช้า บางคนอาจรู้สึกเร็ว และบางคนก็ไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่มีใครควบคุมมันได้ แม้แต่เจ้าของ
            พระเจ้าอาจมีจริง กามเทพอาจมีตัวตน และกำลังวางแผนให้เราพบรักกับใครสักคนในวันพรุ่งนี้ แต่จะสำคัญอะไรถ้าเราอยากจะรักคนในวันนี้
            พจนานุกรมออนไลน์ (Longdo) ยกตัวอย่างประโยคของ “พรหมลิขิต” ว่า “ผู้กล่าวว่าชีวิตมนุษย์สุดแล้วแต่พรหมลิขิตเป็นการกล่าวแก้ตัวของคนที่ไม่มีความรับผิดชอบต่อชีวิต” บางทีผมอาจบอกเพื่อนให้เลิกเก็บคำคมจากภาพยนตร์แล้วเปิดพจนานุกรมออนไลน์แทน

          “เจอกันครั้งแรกเรียกอะไรนะ...” วันหนึ่งเพื่อนถามผมเมื่อมันอยากรื้อฟื้นคำคมที่จำไม่ได้
            “บังเอิญ”
            “แล้วครั้งที่สองล่ะ”
            “ก็บังเอิญ”
            “ใช่เหรอวะ... แล้วถ้าครั้งที่สามล่ะ” นี่เป็นตัวอย่างของคนที่พยายามเรียกหาพรหมลิขิต
            ผมมองหน้าเพื่อน ขมวดคิ้วและยิ้ม ก่อนตอบคำถาม
            “แปลว่าบ้านเขาอยู่แถวนั้น”


คาเมะคุง
29/ 12 / 2555
วันเกือบสิ้นปีที่ยังเฝ้ารอพรหมลิขิตอยู่

วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สิ่งที่เดินทางผ่านลิ้นชัก


            อาจมีหลายเหตุผลที่ทำให้คนอยากย้อนอดีต แต่กลับมีแค่ไม่กี่เหตุผลที่คนอยากให้ใครสักคนย้อนอดีตมาหา ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง อาจเป็นการผ่านประตูมิติอับแสนลึกลับ การปีนลงมาจากปล่องควัน หรือการโผล่พรวดมาจากลิ้นชักของโต๊ะเขียนหนังสือที่ระเกะระกะด้วยสิ่งของภายใน
            เขานอนอยู่บนพื้นห้องอย่างเกียจคร้านพร้อมด้วยแว่นสายตาที่ทำให้ดูซื่อบื้อ มือทั้งสองไพล่ที่ท้ายทอยและขาทั้งคู่ไขว่ห้างด้วยท่าทางสุดขี้เกียจ พลางเพ้อฝันถึงเรื่องดีๆ ที่ไม่มีวันเกิดขึ้น ทันใดนั้นเขาก็สะดุ้งเฮือกเมื่อสิ่งมีชีวิตอ้วนกลมโผล่พรวดออกจากลิ้นชักเขียนหนังสือที่ระเกะระกะด้วยสิ่งของภายใน พร้อมกับประโยคว่า “ฉันมาช่วยนายเพื่อให้พ้นจากเรื่องร้ายๆ ทั้งปวง” แต่ยังไม่ทันทั้งสองจะสนทนากันให้เข้าใจ แม่ของเขาก็ตะโกนขึ้นมา
            “เสียงเอะอะอะไรน่ะ โนบิตะ”
            ไม่ทันที่เขาจะใช้สมองช้าๆ คิดหาทางออก เจ้าอ้วนตัวกลมที่มีหนวดแมวบนใบหน้าก็เผ่นแผล็วลงไปในลิ้นชักอย่างรวดเร็ว
            “ลงมากินข้าวได้แล้ว” แม่ของเขายังคงตะโกนเรียกลูกต่อไป
            “โรญจน์ ลงมากินข้าวเสียที อ่านการ์ตูนอยู่ได้”
            ผมละมือจากหนังสือเล่มนั้น และหยิบมันไปเก็บไว้ที่ชั้นเป็นลำดับ 1 นำหน้าเล่ม 2 และเล่มต่อๆ ไปที่เรียงติดกันจนแน่นชั้น
            “โตป่านนี้แล้ว เมื่อไรจะเลิกอ่านการ์ตูนเสียที” มันเป็นคำบ่นที่แม้แต่คนบ่นก็อาจไม่ได้รู้สึกถึงแรงปะทะหรือกระทั่งความหมายของการมีอยู่ซึ่งประโยคดังกล่าว แต่กลับกระทบแทงสามัญสำนึกของผมอย่างเจ็บปวด
            “ทำไมไม่ไปเล่นกีฬาหรือเรียนดนตรีเหมือนเด็กผู้ชายคนอื่นๆ บ้างล่ะ” ไม่ทันไรพ่อก็โพล่งต่อกลางวงรับประทานอาหาร ทำให้ผมแทบอยากจะคายข้าวผัดที่เคี้ยวจนเละแล้วในปากลงใส่กลางชามน้ำซุป
            ผมหนีจากความขุ่นมัวและขมขื่นในวงอาหารนั้นขึ้นมาบนห้อง หยิบหนังสือเรื่องเดิมเปิดอ่าน มันเป็นเรื่องเดียวที่ผมมี แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ใครต่อใครหาว่าผมเป็นโอตาคุ และเพียงพอที่จะทำให้ชั้นวางหนังสือต้องอัดแน่นด้วยสิ่งนี้ เปล่าเลย ผมไม่ได้อยากเป็นแฟนพันธุ์แท้โดราเอมอนแม้แต่นิดเดียว แม้ผมจะรู้เกี่ยวกับมันมากมาย อาจจะมากกว่าแฟนพันธุ์แท้ตัวจริงก็ได้ ผมก็ไม่ได้ต้องการคำสรรเสริญว่ารู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งมากกว่าคนอื่น แต่หากถามถึงเหตุผลของการที่ผมต้องสายตาสั้นและใส่แว่นหนาหน้าตาโง่ๆ เพราะการ์ตูนเรื่องนี้ล่ะก็ ผมอาจตอบได้แค่ว่าผมอยากจะเห็นสิ่งมีชีวิตในกระดาษเหล่านั้นโผล่พรวดออกจากลิ้นชักที่เต็มไปด้วยข้าวของ และบอกกับผมว่า “ฉันมาช่วยนายเพื่อให้พ้นจากเรื่องร้ายๆ ทั้งปวง” พร้อมกับพาผมนั่งไทม์แมชชีนไปเพื่อให้รู้ว่าผมจะได้แต่งงานกับชิซึกะ
            ผมไม่เคยพบรัก หรือจะพูดว่าไม่กล้าสบตามันก็ได้ ผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตของล้วนแต่มองผมด้วยสายตาที่ใช้มองคนวิกลจริตคนหนึ่ง ผมไม่ได้เรียนเก่งเท่ากับความหนาของแว่น และเป็นสุดยอดห่วยด้านกีฬา รวมถึงมีเพื่อนที่พึ่งพาได้ไม่เกินสอง... หรืออาจจะหนึ่งคน บางทีการอ่านการ์ตูนมากเกินไปอาจทำให้ผมสูบบุคลิกของพระเอกในเรื่องมาอย่างไม่รู้ตัว แต่อย่างน้อยหมอนั่นก็มีชิซึกะให้แต่งงานด้วย
            ดวงอาทิตย์ลับฟ้าอย่างรวดเร็ว และผมหลับคาหนังสือการ์ตูนในมือ บนพื้นเปล่าๆ ที่ยังไม่ได้รองแม้แต่ฟูกหรือผ้าห่ม เช่นเดียวกับโนบิตะที่ชอบนอนแบบนี้ในตอนกลางวัน แล้วผมก็สะดุ้งตื่นจากเสียงกุกกักในลิ้นชักที่ระเกะระกะด้วยสิ่งของไร้ประโยชน์นานาชนิด
            สิ่งที่โผล่พรวดขึ้นมาช่างเหนือความเป็นไปได้ในโลก แต่ไม่อาจเหนือกว่าจินตนาการและความคาดหวังที่ผมมีมาตลอด สิ่งนั้นอ้วนกลมสีน้ำเงินและท่าทางดังสิ่งที่ผมฝัน พร้อมกับประโยคเดิมนั้น “ฉันมาช่วยนายเพื่อให้พ้นจากเรื่องร้ายๆ ทั้งปวง” สถานการณ์ไม่ทำให้ผมควบคุมจิตใจให้สงบนิ่งได้ มันเหลือเชื่อ ล่องลอย และไร้เหตุผล
            “ฉันทำให้นายตกใจหรือเปล่า โนบิตะ ว่าแต่นายหน้าตาไม่เหมือน*เซวาชิเลยนะ”
            “ฉันชื่อโรญจน์ ไม่ใช่โนบิตะ และที่นี่ก็ไม่ใช่ญี่ปุ่นปี 19xx นี่นายควรจะโผล่ไปด้วย”
            ใบหน้าเหรอหราที่มองไปรอบห้องอันมืดดำช่างน่าขบขัน และยียวน เขามองผ่านหน้าต่างออกไปเห็นหลังคาบ้านอื่นๆ เรียงรายอย่างไม่คุ้นเคย จากนั้นจึงพูดอย่างไม่รับผิดชอบว่า “งั้นขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ ฉันไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อ ลาก่อน”
            “เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป”
            “ฉันรู้ว่านายมีคำถามมากมาย แต่ลืมมันซะเถอะ นอนซะ จากนั้นวันพรุ่งนี้นายจะรู้เองว่ามันเป็นความฝัน ฉันขี้เกียจอธิบายว่าฉันไม่ใช่ตุ๊กตาทานูกิสีน้ำเงินอย่างที่คนอื่นเห็นฉันครั้งแรกแล้วต้องบอกแบบนั้น ลาก่อนนะ”
            “ฉันรู้ว่านายเป็นใคร” ผมควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นด้วยความตื่นเต้น “นายคือหุ่นยนต์แมวจากศตวรรษที่ 22 ชื่อว่าโดราเอมอน นายเคยมีหูและมันทำให้ดูเหมือนแมวมากกว่านี้ แต่กลับถูกหนูกัดขาด แฟนที่เคยมีก็ทิ้งนายไปเพราะนายกลายเป็นหุ่นกระป๋องอ้วนหัวกลม จากนั้นนายร้องไห้เสียใจจนตัวกลายเป็นสีฟ้า และเกลียดหนูมากที่สุดในโลก นายชอบโดรายากิและมีของวิเศษเต็มกระเป๋า และตอนนี้นายกำลังจะนั่งเครื่องย้อนเวลาไปหาโนบิตะ ปู่ทวดของเซวาชิคนที่วานให้นายไปดูแล”
            เขาอึ้งไปสักพักและเริ่มสนใจในตัวผมมากขึ้น ผมชูหนังสือการ์ตูนในมือที่มีรูปของเขาให้ดู เขาตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย แต่ด้วยความชำนาญจากโลกอนาคตทำให้เขาน่าจะรู้ว่าในประวัติศาสตร์แห่งห้วงเวลา ควรจะมีเหตุการณ์ประหลาดๆ มากมายที่ไม่ต้องการคำอธิบายมากนัก
            “แต่นายไม่ใช่โนบิตะ ไม่ใช่หน้าที่ของฉันที่ต้องดูแลนาย”
            “แล้วทำไมฉันถึงไม่มีหุ่นยนต์อย่างนายมาดูแลเหมือนโนบิตะบ้าง นายโผล่มาหาฉันได้ แปลว่ามีโอกาสที่ฉันจะมีโดราเอมอนมาดูแลเหมือนกันใช่ไหม”
            “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ในมิติของห้วงเวลา นายอาจจะเป็นโนบิตะอีกคนหนึ่งที่มีโดราเอมอนมาดูแล เป็นอีกห้วงเวลาหนึ่ง แต่สำหรับฉันตอนนี้ไม่ใช่นาย”
            “งั้นให้ฉันไปหาโนบิตะกับนายด้วยได้ไหม ฉันรู้ว่าไทม์แมชชีนจะสามารถย้อนเวลากลับมาอีกทีตรงจุดนี้ได้ แม้ว่าฉันจะท่องไปในอีกมิติหนึ่งนานนับสิบปีก็ตาม”
            ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ผมไม่ควรได้รับอนุญาต ระหว่างที่เขาพยายามจะโดดหนีและละทิ้งความรับผิดชอบ ผมซึ่งอยู่ในสถานการณ์เหนือเหตุผลไม่อาจปล่อยชั่วขณะนั้นให้หลุดลอย ผมโดดตามลงไปในลิ้นชัก แม้ตอนแรกจะรู้สึกเสียวว่ามันจะพังลงมาเพราะน้ำหนักตัวผม แต่ผมก็อยู่บนเครื่องย้อนเวลากับเขาจนได้ แม้จะโวยวายยังไง แต่ผมก็ยืนกรานจะไปด้วยจนเขาต้องจำนน
            ที่นี่ไม่ต่างอะไรจากสิ่งที่ผมรู้เลย มีโนบิตะแสนขี้เกียจ ซูเนโอะจอมขี้อวด ไจแอนท์บ้าพลัง และชิซึกะแสนน่ารัก หากโดเรมอนทำให้โนบิตะตกใจเพราะการโผล่มาจากลิ้นชัก ผมก็คงทำให้เขาตกใจจากการที่สามารถบอกเรื่องราวของเขาได้อย่างละเอียดราวกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และคนอื่นๆ ก็ต้องประหลาดใจในเหตุผลเดียวกัน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้ต่อต้าน และยอมให้ผมเป็นเพื่อนโดยดี
            ชิซึกะเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักเกินจะมีตัวตนจริงบนโลก แววตา น้ำเสียง และบุคลิกของเธอทำให้คนโง่ๆ อย่างโนบิตะ (และผม) ตกหลุมรักอย่างจะเป็นจะตายได้ไม่ยาก นี่คือสิ่งเดียวที่เกินความคาดหมายของผม นอกนั้นเป็นสิ่งที่ผมคุ้นเคยราวกับขลุกอยู่ด้วยตั้งแต่จำความได้ เสียงหัวเราะของซูเนโอะ อารมณ์รุนแรงของชายชื่อโกดะ ทาเคชิ และลานกว้างแห่งความทรงจำที่มีท่อสามอันวางซ้อนกัน
            ผมอยู่กับพวกเขาถึงเย็นมืด จนไม่มีที่จะไป จึงขอโดราเอมอนนั่งไทม์แมชชีนกลับสู่ลิ้นชักในปัจจุบัน และจากความไว้ใจที่ผมมีให้ ซึ่งเขาก็เริ่มมีให้ผมเช่นกัน  ทำให้ทุกวันหลังอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ผมจะเปิดหนังสือการ์ตูนและทบทวนเรื่องราว จากนั้นจึงดึงลิ้นชักออกกว้างและกระโดดลงไปสู่โลกใบนั้น ที่มีพวกเขา และชิซึกะ เวลาทั้งวันในโลกนั้นทำให้ผมเหนื่อยอ่อน แม้เวลานอนจะเท่าเดิม แต่ก็ทำให้ผมไปสัปหงกที่ห้องเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ
            ผมผจญภัยไปกับพวกเขา ได้สัมผัสกับของวิเศษที่หลายล้านคนบนโลกเคยใฝ่ฝัน หากให้เลือกของวิเศษอย่างได้อย่างหนึ่ง ผมรู้ดีว่าทุกคนจะต้องเลือกคอปเตอร์ไม้ไผ่ ไทม์แมชชีน หรือประตูไปไหนก็ได้ หนึ่งในนี้ ครั้งหนึ่งผมได้ใช้ประตูนั่น มันอัศจรรย์ ผมเปิดมันและเจอกับอีกสถานที่หนึ่ง ผมชะโงกหน้าไปดูด้านหลังของประตูว่าจะปรากฏภาพอะไร แต่กลับไม่มีประตูอยู่ ทั้งที่ด้านหน้ามันเปิดออกและมีอีกที่หนึ่งในนั้น  เราย้อนเวลาไปแดนไดโนเสาร์ ลงสู่ใต้ทะเลลึก หรือแม้แต่ป่าเขาอันลึกลับ ทุกย่างก้าวผมรู้คำตอบดีว่าภาพสุดท้ายเป็นอย่างไร แต่ผมไม่อาจห้ามหัวใจไม่ให้เต้นรัวได้ ผมปลาบปลื้มจนแทบร้องไห้ทุกครั้งที่กลับมายังที่นอนของตัวเองในทุกๆ คืน บางครั้งผมยังฝันต่อไปว่าผมยังอยู่กับโดราเอมอนและเพื่อนๆ พวกเขาช่างดีเหลือเกิน ดีกว่าโลกที่ผมอยู่ตอนนี้เกินกว่าจะบรรยายได้
            การเรียนของผมย่ำแย่ลงเรื่อยๆ แม้ปกติมันจะย่ำแย่มากพอแล้วก็ตาม พ่อและแม่ยังดุด่าและเคี่ยวเข็ญผมเหมือนเดิม แต่ผมไม่เคยเสียใจ หรือกระทั่งใส่ใจ ทุกคนในโลกใต้ลิ้นชักดีต่อผม ไจแอนท์ไม่ได้ชอบต่อยผมเหมือนที่เขาทำกับโนบิตะ และชิซึกะก็น่ารักและดีกับผมเสมอ ผมอิจฉาโนบิตะที่เขาจะได้แต่งงานกับเธอ
            ครั้งหนึ่งที่ผมได้อยู่กับโดราเอมอนเป็นการส่วนตัวขณะทุกคนไปเรียน บนชั้นสองของบ้านตระกูลโนบิ หน้าต่างเปิดโล่ง ลมยามบ่ายแก่ๆ ของฤดูใบไม้ร่วงพัดโชย ผมสนทนากับเขาอย่างลูกผู้ชาย
            “ชิซึกะจะต้องแต่งงานกับโนบิตะเท่านั้นหรือ”
            “ใช่แล้ว หากเส้นทางของกาลเวลาเดินไปอย่างไม่สะดุด และไม่มีอะไรมาเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของอนาคต”
            “หมายความว่าหากมีอะไรมาทำให้ระหว่างทางนั้นบิดเบี้ยวไป อนาคตก็อาจจะเปลี่ยนไปได้”
            “ใช่แล้ว” เขาตอบกลางหยิบโดรายากิเข้าปากทั้งอัน
            “ชิซึกะก็อาจจะมาแต่งงานกับฉันแทนได้อย่างนั้นสิ”
            เขาสำลักรุนแรง “ม... หมายความว่าไง นายชอบเธอหรือ”
            “ใช่ แต่ฉันรู้ดี ฉันรู้ทุกอย่าง นายไม่ต้องบอกอะไรฉันหรอก”
            “ฉันไม่ได้จะห้ามอะไรนาย และไม่ได้จะปกป้องโนบิตะ” เขาใช้มือปาดเศษโดรายากิที่เลอะปาก “แต่ที่นี่ไม่ใช่โลกของนาย ชิซึกะและนายไม่ใช่ของกันและกัน ยังไงนายก็ไม่ได้แต่งงานกับเธอหรอก”
            “นายมาจากโลกที่วิทยาศาสตร์เฟื่องฟูไม่ใช่หรือ นายควรเชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้หากมันมีความน่าจะเป็นสิ”
            “แม้วิทยาศาสตร์จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้หลายอย่าง แต่บางสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ก็ไม่อาจทำอะไรได้ มันถูกวางไว้ด้วยข้อจำกัดอะไรบางอย่าง มันเป็นกฎแห่งสัจธรรม”
            สายตาของเขาเหมือนกับเห็นใจใครสักคนอย่างเต็มที่ แต่เจ็บปวดเพราะไม่อาจช่วยอะไรได้ โนบิตะเป็นคนดี แม้จะโง่เง่าไปในหลายครั้ง ส่วนชิซึกะก็เป็นเด็กผู้หญิงที่ผมใฝ่ฝัน มันไม่แปลกที่อะไรสักอย่างซึ่งอยู่ในความปรารถนาแห่งอุดมคติจะไม่มีตัวตนอยู่ในโลกแห่งความจริง แต่ผมได้พบเธอแล้ว แม้ในโลกที่ขนานกันอย่างไม่แยแส และไม่อาจมีอะไรเกี่ยวพันกันได้ ผมไม่อาจมอบชีวิตให้กับโลกใบนี้ ผมมีความเป็นจริงแสนโหดร้ายที่ต้องแบกรับ ผมรู้ข้อนั้นดี บางครั้งเส้นกั้นแห่งความฝันและความจริงก็บางเกินไป จนไม่อาจรู้ได้ว่าซีกไหนควรจะเป็นพื้นที่ที่สมควร
            ผมเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง หน้าต่างชั้นสองของบ้านตระกูลโนบิ ดวงอาทิตย์สีส้มค่อยๆ ทิ้งตัวลงขอบฟ้า แสงสีทองทอทาบบ้านเรือน ข้างในของผมกำลังส่งเสียงร่ำไห้อย่างสงบ
            “ฉันขอกลับก่อน” ผมบอกเขา และเขาไม่ได้พูดอะไรเพื่อรั้งหรือแสดงความสงสัยราวกับเข้าใจทุกอย่างดี เจ้าสิ่งมีชีวิตอ้วนกลมสีน้ำเงิน นายไม่ได้เข้าใจอะไรทุกอย่างหรอกนะ
            “หากทุกอย่างอยู่ในความน่าจะเป็น สักวันจะมีโดราเอมอนไปหานาย และพานายไปยังอนาคตของนายเองเพื่อพบว่านายจะได้แต่งงานกับคนที่ควรจะสวมชุดเจ้าสาวข้างๆ นาย”
            “หากนั่นเป็นคำปลอบใจ ฉันก็ขอบคุณนายมาก นายดีต่อฉันจริงๆ เพื่อน” ผมหันกลับและโดดเข้าไปในลิ้นชัก สู่ความมืดและเงียบงันในห้องที่เต็มด้วยการ์ตูน ผมทิ้งตัวลงพื้นเปล่าและหลับไป น้ำตาไหลที่ไหลออกมาราวกับรู้ว่าผมจะไม่ได้กลับไปยังโลกนั้นอีก ไม่มีเหตุผลว่าทำไมผมจึงรู้สึกเช่นนั้น แม้ลิ้นชักก็ยังตั้งอยู่ที่เดิม พร้อมจะพาผมไปผจญภัยในโลกที่ผมใฝ่ฝันได้ตามต้องการ
            ผมตื่นด้วยความงัวเงียและลากร่างอ่อนล้าไปเรียน แน่นอนว่าผมหลับเกือบทั้งวัน และเมื่อกลับมาที่บ้านผมก็ถูกลงโทษอย่างสาสม
            ในห้องไม่มีหนังสือการ์ตูนของผมอีกแล้ว มันแหลกเป็นจุลอยู่กลางสนามหญ้าเล็กๆ ข้างบ้าน เปลวไฟมอดเหลือเพียงธุลีดำมืดแห่งความปวดร้าวที่ลอยขึ้นฟ้าไปทีละนิดราวกับพวกมันกำลังเดินทางไปสู่สวรรค์ ผมโวยวายอย่างใจจะขาด แม้รู้ว่าไม่มีประโยชน์อันใด แน่นอนว่าการเรียนของผมไม่เป็นที่น่าพอใจและนำมาสู่การฆาตกรรมเพื่อนรักของผมทั้งหมดด้วยกองเพลิง ผมร้องไห้อย่างทุรนทุราย แต่ยังมีสติพอจะคิดได้ว่า หากโดราเอมอนเป็นเพื่อนของผม เครื่องมือบางชิ้นก็สามารถทำให้ของรักเหล่านั้นกลับมาได้ ผมเปิดลิ้นชัก ถอยห่างไปสามก้าว และกระโดดลงไปอย่างสุดแรง หลับตาเพื่อลบภาพโหดร้ายของโลกความจริงนี้ทิ้ง แล้วจมดิ่งไปสู่อีกห้วงกาลเวลา
            เสียงสนั่นทั่วห้อง แม่วิ่งขึ้นมาดูด้วยสีหน้าตกใจ ชิ้นส่วนของลิ้นชักกระจัดกระจายเหมือนแจกันที่ตกจากที่สูง ของที่เคยรกรุงรังภายในเกลื่อนกลาด ไทม์แมชชีนของผมแตกสลายไปแล้ว ผมนอนแผ่กลางห้องด้วยความเจ็บปวด มองไปยังเพดานที่ไม่มีแม้ความหวังอันใดปรากฏอยู่ หากนายคิดถึงฉันก็ช่วยโผล่มาจากที่ใดที่หนึ่งในบ้านหลังนี้ที ผมหลับตาและคิด แม้ภายในจะไม่มีแสงเล็ดลอดแห่งความหวังใดสอดส่องอยู่เลย สิ่งที่ผมภาวนาก็คือหากลืมตาขึ้นแล้ว ทุกอย่างคือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น และช่วงเวลาเหล่านั้นคือค่ำคืนหนึ่งที่ผมแค่อ่านการ์ตูนมากเกินไป แต่ผมไม่กล้าแม้จะเปิดเปลือกตาเพียงข้างใดข้างหนึ่ง
            น้ำตาที่เอ่อล้นนั้นหนักเกินกว่าจะทำให้ดวงตาของผมเปิดได้



คาเมะคุง
9/12/55
วันที่โดราเอมอนปรากฏตัว