-->
ผู้อ่านคือลมหายใจของนักเขียน

วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

นับถอยหลัง

             เขาเดินทวนกระแสผู้คนไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบ  มือข้างหนึ่งสงบนิ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกง อีกข้างตวัดล้วงด้วยความเร็ว ไม่ถึงเสี้ยววินาทีกระเป๋าสตางค์ของผู้ที่เดินสวนไปก็อยู่ในกำมือ เขานำของมีค่าที่ฉกมาได้ง่ายดายดังมายากลใส่ลงในกระเป๋าสะพายข้าง ทีละครั้ง ทีละครั้ง จนเต็ม
            เขายังไม่คิดจะหยุดเดินและเช็กมูลค่าของที่ได้มาทั้งหมด เนื่องด้วยในสถานที่และห้วงเวลาเช่นนี้ เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน – ผู้คนที่ต่างมาเฝ้ารอการเริ่มต้นใหม่ของปี ซึ่งเหลืออีกไม่กี่ชั่วโมง เสียงโห่ร้องกึกก้อง เสียงพลุแตก และเพลงสวัสดีปีใหม่ก็จะดังขึ้นต้อนรับวันเวลาใหม่ๆ
            ผู้คนจำนวนมากตั้งปณิธานไว้กับตัวเองเมื่อถึงวันสิ้นปีว่าในปีหน้าอยากจะทำอะไรให้สำเร็จบ้าง สำหรับเขาก็เช่นกัน
            “ฉันจะเลิกเป็นนักล้วงกระเป๋าเสียที” เขาพูดกับตัวเอง เมื่อเข็มวินาทีเลยเลข 12 ไปในเวลาเที่ยงคืน อาชีพนักล้วงจะถูกทิ้งไว้ในวันสิ้นปี ฉะนั้นแล้ว ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ยังเหลืออยู่เป็นโอกาสที่เขาจะทิ้งทวน
            เขาเดินฝ่ากระแสผู้คนไปเรื่อยๆ มือทั้งสองล้วงกระเป๋ากางเกงเป็นสัญญาณบอกว่าเขาพอกับจำนวนที่ได้มา เมื่อเลยห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่ตั้งเรียงติดกันถึงสามอาคารมา ผู้คนเริ่มเบาบางลง เขาหยุดที่ใต้บันไดของสะพานลอยแห่งหนึ่ง เปิดกระเป๋าสะพายตรวจดูสิ่งของภายใน
            “ได้มามากโขสินะ หึหึ...”
            ชายลึกลับปรากฏตัวอยู่ข้างกายนักล้วง เขาสวมกางเกงวอร์มสีน้ำเงินเข้ม รองเท้าผ้าใบสำหรับวิ่ง และเสื้อแจ็กแก็ตสีดำ ฮูทหนาครอบหัวของเขาจนยากที่จะเห็นใบหน้า ยิ่งในบรรยากาศที่สลัวด้วยความมืดและมีเพียงแสงไฟข้างทางริบหรี่ทำให้เขาดูลึกลับจนน่าขนลุก
            “นายเป็นใคร?” ชายนักล้วงเอ่ยถามพร้อมอาการสะดุ้งเล็กน้อย
            “เห็นว่าปีใหม่แล้วแกจะเลิกงานนี้เรอะ น่าเสียดายฝีมือของแกเสียนี่กระไร ได้ข่าวว่าแกยังไม่เคยถูกจับได้แม้แต่ครั้งเดียวสินะ ฉันว่านี่มันพรสวรรค์ชัดๆ”
            “แกเป็นใคร? แล้วรู้เรื่องของฉันได้ยังไง แกต้องการอะไร”
            “แค่ความบันเทิงในวันสิ้นปีน่ะ ฉันอยากรู้ว่าแกมีฝีมือมากกว่าแค่ล้วงกระเป๋าหรือเปล่า หึหึ...”
            ชายลึกลับยื่นสมุดบันทึกปกแข็งเล่มหนึ่งใส่มือนักล้วงโดยไม่ให้ตั้งตัว แล้วหันหลังเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว ลับหายเข้าไปในมุมตึก ชายนักล้วงพยายามวิ่งตามไปแต่พ้นจากมุมตึกไปเขาก็เห็นเพียงความว่างเปล่า
            สมุดบันทึกเล่มนั้นยังคงอยู่ในมือของเขา มันหนักกว่าที่เขาประเมินไว้จากขนาดของมันมาก เขาเปิดไล่ดูตั้งแต่หน้าแรก เป็นกระดาษเปล่า จนถึงกลางเล่มจึงพบข้อความอยู่ประมาณ 4-5 บรรทัด
            “22.36 น. นักล้วงกระเป๋าผู้น่าสงสารจะถูกหมาวิ่งไล่”
            “22.53 น. นักล้วงกระเป๋าผู้น่าสมเพชจะหกล้มด้วยความโง่”
            อ่านได้เพียงสองบรรทัด เขาก็คิดว่านี่เป็นการเล่นตลกไร้สาระของคนบ้าเท่านั้น เขาโยนสมุดบันทึกที่หนักเกินตัวทิ้งไปด้านหลัง มันกระทบกับวัตถุบางอย่างเข้าอย่างจัง ทันใดนั้นเขาก็ขนลุกซู่ด้วยเสียงคำรามของสัตว์ร้าย
            “ชิบหาย!
            สัตว์ร้ายสีดำแยกเขี้ยวขู่คำรามและกระโจนใส่เขาทันที เขากัดฟันสาวเท้าสุดชีวิต วิ่งตัดหน้ารถข้ามไปยังถนนอีกฟาก เสียงแตรดังยาวตามด้วยเสียงเบรกแหลมบาดแก้วหู ก่อนจะตามมาด้วยเสียงตะโกนด่าของเจ้าของรถ แต่วินาทีนั้น เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรชัดเจนนัก เขาคว่ำแขนซ้ายลงเพื่อดูเวลา
            “พระเจ้า! แม่นอย่างกับจับวาง”
            เขานั่งหายใจหอบอยู่ริมถนน จนศัตรูสี่ขาของเขาเบื่อที่จะเห่าแล้วเดินจากไป เขานึกถึงข้อความในสมุดบันทึก พยายามคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ แต่มันก็แม่นยำจนยากที่จะปฏิเสธ เขาหันไปมองถนนอีกฟากหนึ่ง สมุดบันทึกยังคงนอนแผ่อยู่บนพื้น เขาไม่รอช้าที่จะข้ามกลับไป แต่แล้ว...
            พลั่ก!
            เขาเหยียบเปลือกกล้วย
            เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ นี่ไม่ใช่การ์ตูน แต่มีเปลือกกล้วยวางอยู่ตรงนั้นจริงๆ เขาร้องโอดโอยด้วยอาการเจ็บบริเวณสะโพก มองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง เข็มสั้นและเข็มยาวอยู่บริเวณใกล้เคียงกันระหว่างเลข 10 และ 11 เขาเริ่มไม่สบอารมณ์และคิดว่าต้องมีคนวางแผนอะไรสักอย่าง
            เขาหยิบสมุดบันทึกมาเปิดดู อ่านข้อความถัดไป
            “23.19 น. นักล้วงกระเป๋าผู้โชคร้ายจะสูญเสียของที่ขโมยมาได้ทั้งหมด”
            “ว่าไงนะ ไม่มีทางหรอกโว้ย!” เขาสบถใส่สมุดบันทึกและกอดกระเป๋าสะพายข้างไว้แน่นราวกับว่าหากมีใครจะมากระชากไปก็ต้องตัดแขนของเขาไปด้วย คราวนี้เขาจะไม่ยอมให้คำทำนายบ้าๆ ในสมุดเป็นจริง เขาเหนื่อยกับการเล่นตลกของชายแปลกหน้าคนนั้น จึงตัดสินใจถอยทัพ
            เขาเดินกลับไปยังบริเวณที่คับคั่งด้วยผู้คนอีกครั้งเพื่อขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน บรรยากาศแออัดมากขึ้นเนื่องจากคนเริ่มทยอยมารอนับถอยหลัง เขาหลุดจากคลื่นฝูงชนมาได้และตรงไปยังทางขึ้น เขาไม่ทันสังเกตว่ามีคนคอยต้อนรับเขาอยู่
            “เพื่อความปลอดภัยของทุกคน เจ้าหน้าที่ขอตรวจกระเป๋าด้วยครับ”
            เขาไม่แน่ใจว่านี่เป็นการวางแผน เป็นความบังเอิญ เป็นโชคชะตา หรือพระเจ้ากลั่นแกล้งกันแน่ แต่อย่างไรคราวนี้เขาจะไม่ยอมให้คำทำนายเป็นจริง ฉะนั้นแล้ว เขาเร่งฝีเท้าหนี
            เจ้าหน้าที่สองคนเห็นพิรุธจึงวิ่งไล่ตาม เขาวิ่งหลบเข้าไปในฝูงชน เสียงนกหวีดของเจ้าหน้าที่ทำให้ผู้คนแตกฮือ พลเมืองดีสองสามคนเริ่มเข้าใจสถานการณ์ พยายามจะวิ่งตะครุบตัวเขาไว้ เขาจึงตัดสินใจโยนกระเป๋าทิ้งเพื่อเบนความสนใจ และมันก็ได้ผล เขาวิ่งหลบหายเข้าไปในห้างสรรพสินค้าใหญ่ นั่งพักเหนื่อยบนเก้าอี้สาธารณะ
            ยากที่จะทำใจยอมรับว่านี่เป็นเรื่องจริง ข้อความที่เขียนลงในสมุดนี้เกิดขึ้นจริงทั้งหมด เขาพลิกสมุดขึ้นมาอ่านอีกครั้งด้วยลมหายใจเหนื่อยหอบ เหลือเพียงข้อความสุดท้ายเท่านั้น
            “0.00 น. ห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางเมืองทั้งสามแห่งจะถูกระเบิด
            “นี่มันจะมากไปแล้วนะ ไอ้บ้าเอ๊ย”
            อันที่จริงแล้ว ชายนักล้วงผู้ซึ่งรู้เหตุการณ์ก่อนหน้า เพียงชิ่งหนีไปเขาก็จะรอด แม้ผู้คนนับหมื่นพันอาจต้องเป็นเหยื่อโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เขารู้ดีว่าไม่มีความจำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือคนอื่นที่เขาไม่ได้รู้จักมักจี่ด้วย
            ท้องฟ้ามืดสนิท แต่แสงไฟจากพื้นดินนั้นส่องสว่างกลบแสงของดวงดาวทั้งหมดให้เลือนหาย ผู้คนต่างเฝ้ารอการเฉลิมฉลองอย่าใจจดใจจ่ออยู่กลางลานกว้างหน้าห้างสรรพสินค้าที่ตกแต่งประดับประดาด้วยไฟหลากสี รอยยิ้มของผู้คนส่องระยิบระยับให้ความรู้สึกอบอุ่นท่ามกลางลมพัดเย็น
            เขามองออกมาทางกระจกหน้าต่างชั้นบนสุดของห้างสรรพสินค้า ภาพที่สวยงามนี้เขาไม่อยากเปลี่ยนมันให้กลายเป็นความพินาศ เขาต้องทำอะไรสักอย่าง ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นในหัว
            เขาเดินตรงไปยังแผนกเครื่องเขียน หยิบปากกาขึ้นมาหวังจะเปลี่ยนคำทำนาย แต่ทว่าไม่มีปากกาแท่งไหนสามารถทำให้สมุดเล่มนี้เปรอะเปื้อนหมึกได้
            “ฉลาดดีนี่ แต่เขียนไม่ติดหรอกนะ ถ้าไม่ใช่ปากกาของฉันน่ะ หึหึ...”
            ชายลึกลับเจ้าเก่าปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง พร้อมโชว์ปากกาหมึกซึมสีดำมีลายทองตัดขอบ แล้วเก็บมันเข้าในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ต
            “แก ลบข้อความนั่นเดี๋ยวนี้นะ แกรู้ตัวรึเปล่าว่าแกทำอะไรอยู่ คนมากมายจะต้องตายเพราะแกนะ เลิกเล่นบ้าๆ ซะที”
            “การวางระเบิดตามจุดต่างๆ ในวันสิ้นปีมันก็เกิดขึ้นเป็นประจำนั่นแล่ะ แต่พอเวลาผ่านไป ผู้คนก็เลิกกลัว เลิกจดจำ และไม่เข็ดหลาบ ดูสิว่าที่ลานนั่นมีใครหน้าไหนกลัวระเบิดกันบ้าง”
            ชายเจ้าของสมุดบันทึกพล่ามต่อ “พอวันสิ้นปีมาถึง ผู้คนก็นึกถึงแต่เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เฝ้าอวยพรขอพรให้ร่ำรวยบ้าง ให้โชคดีบ้าง แต่ไม่เคยนึกทบทวนถึงเรื่องที่ผ่านมาว่าเกิดอะไรไม่ดีขึ้น เพื่อจะได้แก้ไขปรับปรุง ไม่มีเลยสักคน”          
            “ฉันนี่ไง! ฉันตั้งใจแล้วว่าพอหมดสิ้นปีไปฉันจะเลิกเป็นนักล้วง เพราะเข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมาสิ่งที่ฉันทำไปมันไม่ถูกต้องนัก แล้วแกล่ะ เอาชีวิตคนมาเล่นตลกแบบนี้ คิดว่าดีนักหรือไง”
            “คิดว่าแกจะทำได้หรือ การล้วงกระเป๋ามันเป็นพรสวรรค์ของแก แกห้ามมันไม่ได้หรอก แต่ตอนนี้แกห่วงชีวิตของตัวเองก่อนเถอะนะ หึหึ...”
            “สิบเก้า... สิบแปด... สิบเจ็ด...” เสียงตะโกนดังมาจากทั่วสารทิศ ทุกคนร่วมนับถอยหลังสู่ศักราชใหม่พร้อมกัน แต่หารู้ไม่ว่า นั่นอาจเป็นการนับถอยหลังสู่โศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว
            “ในเมื่อเป็นแบบนี้            ฉันจะลากแกตายไปพร้อมกับทุกคนซะเลย” เขาเดินปรี่ไปหาชายสวมแจ็กเก็ต
            “คิดจะสู้กับฉันงั้นเรอะ” ชายลึกลับตั้งท่าชกมวยแบบกวนประสาท แล้วเต้นสลับขาไปมาแบบบรู๊ซลี
            “เข้ามาเลยซี่ ฮ่าๆๆ”
            เขาเดินผ่านชายคนนั้นไปด้วยท่าทีเรียบเฉย ไม่สนใจท่าทางยียวนใดๆ ชายสวมแจ็กเก็ตประหลาดใจ แล้วก็รู้สึกตัวได้ว่าของบางอย่างหายไป เขาทำตาโต จ้องหน้าชายนักล้วงด้วยความตื่นเต้น
            “ฮ่าๆๆ แกนี่มันน่าสนใจจริงๆ ด้วย แต่ถึงจะขีดฆ่าไป ก็ไม่มีผลอะไรหรอกนะ สิ่งที่ถูกเขียนไปแล้วไม่มีทางแก้ไขได้อีก”
            เสียงนับถอยหลังเริ่มใกล้เลขศูนย์มาขึ้นเรื่อยๆ เขารีบเปิดสมุดบันทึกแล้วเขียนบางอย่างลงไป
            “บอกแล้วไงว่าถึงจะขีดค่ามันก็ไม่มีผลน่ะ ฮ่าๆๆ”
            “สาม... สอง.. หนึ่ง!
            ตูม!...
            เสียงระเบิดดังจากแผนกซุปเปอร์มาเก็ต ซีเรียลยี่ห้อหนึ่งแตกกระจายเป็นกองพะเนิน ผู้คนบริเวณนั้นอยู่ในอาการตกใจและงุนงงไปพร้อมๆ กัน ทว่า ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
            “แกเขียนอะไรลงไป”
            “เอาไปอ่านเล่นแล้วกัน”
            อดีตนักล้วงยื่นสมุดบันทึกคืนให้ ยิ้มมุมปาก แล้วเดินหันหลังจากไป ทิ้งชายในเสื้อแจ็กเก็ตไว้เบื้องหลัง...
            เขาเดินทวนกระแสผู้คนไปช้าๆ มือข้างหนึ่งสงบนิ่งอยู่ในประเป๋ากางเกง อีกข้างถือวัตถุด้ามยาวไว้อย่างมั่นคง เขามองดูมันอย่างพินิจ ก่อนจะหัวเราะหึๆ ในลำคอ
            ชายลึกลับต้องการคำตอบสำหรับเรื่องนี้ เขาเปิดสมุดไปยังหน้าที่มีข้อความ พบสิ่งที่ถูกเขียนเติมเข้าไป    
          “0.00 น. ห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางเมืองทั้งสามแห่งจะถูกระเบิด...
          ...ด้วยกล่องซีเรียลในแผนกซุปเปอร์มาเก็ต ตูม! เกิดเป็นโกโก้ครั้นช์”                
            “ฮ่าๆๆ แกนี่มันน่าสนใจจริงๆ”
            ทันใดนั้นเขาก็พลิกหน้าไปพบข้อความใหม่ที่ถูกเขียนเพิ่ม
            “0.01 น. เจ้าของสมุดบันทึกเล่มนี้จะไม่มีวันได้ปากกาคืนไปตลอดกาล”
            “ไหนบอกปีนี้จะเลิกเป็นขโมยไงฟะ!




คาเมะคุง

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ผู้มาเยี่ยมเยียน

ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากเขา
เด็กน้อยคนหนึ่งอาจตัวเล็กและไร้เดียงสาเกินกว่าจะอยู่อย่างลำพังในที่แห่งนี้
            กว่า 2 ปีแล้วตั้งแต่ครอบครัวของเขาย้ายออกไป มันถูกทิ้งร้างให้เป็นที่อยู่ของฝุ่นละอองและหยากไย่ โครงสร้างที่ทำด้วยไม้ทั้งหลังผุกร่อนด้วยฝีมือปลวก เฟอร์นิเจอร์หลายชิ้นยังคงนอนนิ่งอยู่ที่เดิม บางชิ้นหากนำไปทำความสะอาด ใช้แปรงขัดและลงสีใหม่ก็อาจนำกลับมาใช้ได้อีก แต่มันก็ถูกตรึงไว้ด้วยฝุ่นหนา ยากเกินกว่าจะยกออกมา ความจริงแล้วก่อนหน้านี้มันเป็นบ้านที่ยอดเยี่ยมทีเดียว ตั้งอยู่บนเนินดินเตี้ยๆ ภายนอกล้อมรอบด้วยสวนพฤกษาและต้นไทรใหญ่ตั้งเด่นเป็นสง่าไม่ไกลจากประตูหน้าบ้านนัก ใต้ถุนบ้านยกสูงเพื่อเป็นที่นั่งเล่นและสังสรรค์ ภายในก็สะอาดปลอดโปร่ง ไม่คราคร่ำด้วยสิ่งสกปรกเช่นตอนนี้
            แม้สถานที่แห่งนี้จะไม่น่าพิสมัย อีกทั้งมีบรรยากาศที่คุกรุ่นไปด้วยความน่ากลัว แต่ก็ยังพอมีผู้ที่แวะเวียนเข้ามาในตอนกลางวันอยู่เล็กน้อย บ้างมาถ่ายรูป วาดรูป หรือแม้แต่เข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทุกครั้งที่มีแขก เขาจะดีใจเสมอ แต่ไม่มีใครเคยมองเห็นเขา อาจเป็นเพราะเขาชอบแอบอยู่หลังเสาและริมฝาผนัง โผล่เพียงครึ่งหัวน้อยๆ และดวงตาสองข้างออกมาเพื่อแอบมองผู้คนเหล่านั้น
            “อยากเล่นกับพวกนั้นจัง”
เขาคิดเช่นนี้เสมอแม้รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควร แค่ไม่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปตลอดกาลก็เป็นความสุขที่มากเหลือแล้ว
            แต่สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ดูเหมือนจะมีอะไรแปลกไป...
            ไม่มีวี่แววของผู้ที่มาเยี่ยมเยียนเลยสักคนเดียว รอยเท้าบนพื้นเริ่มถูกกลบด้วยฝุ่นละอองหน้าเตอะ ทุกอย่างเงียบเหงา บางทีอาจเป็นเพราะเหตุการณ์ในคืนนั้น
            ในเวลาที่ไม่สมควรนัก เจ้าของบ้านตัวน้อยรู้สึกถึงสัญญาณของสิ่งมีชีวิต
            เด็กหนุ่มสองคนอายุราว 15 ปี คนหนึ่งถือไฟฉายเดินนำและถุงพลาสติกซึ่งบรรจุสิ่งของเล็กๆ บางอย่าง คนหนึ่งเดินเกาะไหล่ตามด้วยท่าทีหวาดระแวง
            “กูว่ากลับเหอะว่ะ”
            “เฮ้ยอย่ากลัวดิ เผื่อได้เรื่องเขียนส่งไปรายการผีๆ ฮ่าๆ” ชายคนกล้าพูดอย่างไม่หวั่นไหวต่อบรรยากาศรอบข้าง พร้อมหยิบสิ่งของบางอย่างในถุงวางลงพื้น
เจ้าตัวเล็กแอบตัวอยู่หลังเสาโผล่หน้ามาสังเกตการณ์เช่นเคย คราวนี้ตื่นเต้นกว่าทุกครั้ง
            “อยากเล่นด้วยจัง อยากเล่นด้วยจัง” เสียงนี้ดังขึ้นในใจพร้อมกับประกายลุกวาวของดวงตาบริสุทธิ์ที่จ้องไปยังแก้วใสๆ ในมือของผู้มาเยี่ยมเยียน
            “จะดีหรอวะ อาจจะมีพลังงานหรือวิญญาณอะไรอยู่ก็เป็นได้นะ ถ้าขยับขึ้นมาจริงนี่กูคงหลอนมาก”
            “มีไม่มีเดี๋ยวก็รู้ ตอนนั้นกูเคยเล่นแบบนี้ที่โรงเรียนตอนกลางคืน เพื่อนแม่งอำ ใช้นิ้วดันแก้ว ทุกคนในวงหลอนหมด แต่กูไม่เชื่อว่าแก้วจะขยับได้เอง”
“ก็อยากรู้เหมือนกันนะ แต่ตอนนี้ขนลุกโคตรๆ ”
“อยากรู้ก็ต้องพิสูจน์” พูดเสร็จเขาก็เริ่มพิธี
            “หากมีวิญญาณดวงใดสถิตอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ ขอจงเข้ามาสถิตอยู่ในถ้วยแก้วใบนี้ด้วยเถิด” เขากล่าวพร้อมกับยกมือไหว้สูงเหมือนไหว้เจ้า แล้วหยิบแก้วขึ้น
            “เรียกเราหรือเปล่านะ”
ดูเขาตื่นเต้นกับแก้วใบนั้นราวกับเป็นของเล่นใหม่ที่พ่อเพิ่งซื้อมาให้ เด็กน้อยไม่รอช้า บีบตัวให้เล็กลงแล้วพุ่งเข้าไปในแก้วนั้นก่อนที่จะถูกวางคว่ำลงบนพื้นที่ปูด้วยแผ่นกระดาษเก่าๆ มีตัวหนังสือ ก ข ค
            “โอ๊ยทำไมแคบจัง” เขาร้องขึ้นในใจขณะที่ร่างถูกบีบให้เล็กลงเท่าขนาดแก้ว
            “เฮ้ยกูว่าแก้วมันสั่นๆ ว่ะ”
            ทันใดนั้นก็เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นในสายตาผู้มาเยี่ยมเยียน
            “โอ๊ย ทนไม่ไหวแล้ว... เพล้ง!” ดวงวิญญาณเด็กน้อยขยายตัวออก ถึงเขาจะเป็นวิญญาณดวงเล็กๆ แต่ก็ไม่ได้เล็กขนาดที่จะเข้าไปอยู่ในแก้วได้นานๆ
            เขามองหันซ้ายหันขวาด้วยความงุนงง ชายทั้งสองเผ่นป่าราบออกไปตั้งแต่เศษแก้วชิ้นแรกกระเด็นลอยในอากาศ บัดนี้เหลือเพียงเขาลำพังในบ้านไม้มืดๆ
            “ผมขอโทษ คราวหลังผมจะไม่ซนอีก” เด็กน้อยร้องไห้ น้ำตาของเขาหยดลงบนกระดานตัวอักษร แต่ไม่มีร่องรอยของความเปรอะเปียก
            นับจากนั้นบ้านไม้เก่าที่น่าพิศวงก็กลายเป็นบ้านผีสิงอย่างเต็มตัว แล้วใครล่ะจะเข้ามาเยี่ยมเยียนเด็กน้อยผู้โดดเดี่ยวคนนี้อีก ทุกวันเขาได้แต่เฝ้ารอว่าจะมีใครแวะเวียนมาหาอีกครั้ง คราวนี้เขาตั้งใจว่าจะทำหน้าที่เจ้าบ้านให้ดีที่สุด ถึงกระนั้น เวลาผ่านไปแรมเดือนก็ยังไม่มีรอยเท้ามนุษย์คนไหนมาเหยียบลงฝุ่นหนาๆ บนพื้นที่แห่งนี้อีก  
จนกระทั่งคืนหนึ่ง...เสียงเครื่องยนต์ดังแว่วจากหน้าบ้านเข้ามา เจ้าของบ้านผู้อยู่ในสภาวะซึมเศร้าตื่นตัวกระโดดลอยออกจากซอกหลืบใต้บันได โผล่สายตาลอดออกมาทางหน้าต่างที่เปิดอ้าไว้ตลอดเวลา เห็นผู้คนทั้งหญิงชายประมาณหกเจ็ดคนยืนคุยกันเหมือนตกลงอะไรสักอย่าง พร้อมด้วยรถยนตร์และรถตู้อีกสองสามคันจอดเรียงราย
“อยากเล่นด้วยจัง อยากเล่นด้วยจัง” เขาตื่นเต้นอย่างออกอาการ
ชายหน้าตาธรรมดาและสาวสวยในชุดสายเดี่ยวกางเกงขาสั้นเดินแยกออกจากกลุ่มมายังบันไดทางเข้า ชายอีกหนึ่งคนถือกล่องสีดำรูปทรงคล้ายสี่เหลี่ยมไว้บนบ่าเดินตามเข้าไป
“อยากเล่นจัง” เด็กน้อยสนใจกล่องใบนั้นเป็นพิเศษ ไม่ต่างจากเด็กทั่วไปที่เห็นของเล่นแปลกๆ เป็นต้องกระโดดเข้าใส่ แต่คราวนี้เขาสัญญากับตัวเองว่าจะระวัง
ก่อนที่คนทั้งสามจะเดินขึ้นบันได ชายร่างท้วมที่ดูเหมือนจะเป็นตัวตั้งตัวตีของการมาเยี่ยมเยียนในครั้งนี้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงห่วงใย
“ถ้าเกิดอะไรขึ้น อย่าวิ่งนะ เดี๋ยวส่งทีมงานเข้าไปรับ”

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

โอกาสของเรา

           หนีจากความวุ่นวาย ขึ้นมา sky train ~

            เจอผู้คนมากมาย ขึ้นมา sky train~

            เพลง sky train ของวงดนตรีอินดี้อย่าง The Jukk ดังผ่านสายหูฟังเข้ามาในรูหูระหว่างที่ผมกำลังเดินขึ้นบันไดไปรอ BTS บนสถานีอารีย์เพื่อเดินทางสู่สถานีปลายทางแบร์ริ่ง ช่างเข้ากับบรรยากาศดีแท้
            ผมเดินเข้าไปในพาหนะลอยฟ้าที่ขับเคลื่อนโดยไม่ใช้น้ำมัน หลังพิงราวจับข้างประตูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตูที่ผมเข้า มันเป็นที่ประจำของผม
            วันนี้เป็นเช่นทุกวันในเวลาเร่งด่วนของมนุษย์เมือง บนรถไฟฟ้าผู้คนยืนเบียดเสียดใกล้ชิดกัน แต่ไม่มีใครสนใจคนรอบตัว บางคนจดจ่อไปที่สมาร์ทโฟนบนมือ จิ้มนิ้วบนจอทัชสกรีนไปมา บางคนเปิดหนังสืออ่าน เห็นจะมีแต่ผมที่สอดส่ายสายตาสังเกตผู้คนรอบข้าง มันเป็นนิสัยของผม
            แม้ภาพที่ปรากฏจะเป็นดังเช่นทุกวัน แต่ผมก็รู้สึกเพลินกว่าการจ้องไปยังวัตถุใดวัตถุหนึ่งนานๆ
            ทว่าวันนี้ มีวัตถุบางอย่างที่ผมไม่อาจละสายตาได้
            วัตถุมีชีวิตผิวขาว ผมยาว ดวงตากลม ร่างกายบอบบางแต่แฝงด้วยความมั่นใจ นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เยื้องออกไปสองที่นั่ง ในมือถือไอโฟนกรอบสีดำ สายตาจ้องไปที่หน้าจออย่างจดจ่อ เหมือนเธอกำลังพิมพ์อะไรอยู่ บางอย่างบนหน้าจอโทรศัพท์ทำให้เธอหัวเราะเบาๆ แต่ฉีกยิ้มกว้างเห็นฟันขาวเรียง แม้ผู้คนมากมายยืนขวางกั้น แต่จากมุมนี้ ผมเห็นเธอชัดเจน

            ผู้คนรุมเร้าเข้ามา เดินไปชนกันพอดี เจอคนที่หามานาน sky train ~

            เพลงบรรเลงไปถึงท่อนนี้พอดี ประจวบเหมาะกับหัวใจผมที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมองหน้าเธอนานๆ
            ใครจะเชื่อว่าผมตกหลุมรักคนที่ไม่รู้จัก
            ผมเคยอ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของ ชาติวุฒิ บุณยรักษ์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายคนหนึ่งซึ่งไปตกหลุมรักหญิงสาวที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก จากนั้นเขาเฝ้ารอโอกาสที่จะทำความรู้จัก แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ทันการ โอกาสที่พระเจ้าหยิบยื่นให้ลอยหลุดหายไป ชายคนนั้นได้แต่พร่ำเพ้อและโทษตัวเอง
            ผู้เขียนยังอ้างถึงหนังฝรั่งที่พระเอกพบกับนางเอกบนรถไฟ ก่อนนางเอกจะลงจากขบวน พระเอกตรงเข้าไปหาแล้วพูดกับเธอว่า อย่าหาว่าเขาเป็นคนบ้าเลยที่เข้ามาคุยกับเธอโดยที่ไม่รู้จัก เขาเพียงแต่รู้สึกว่าหากเขาปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป เขาจะเสียใจไปทั้งชีวิต นางเอกไม่พูดอะไร เพียงยิ้มตอบเล็กๆ เขาจึงขอให้เธอเป็นไกด์พาเที่ยว แล้วเธอก็ตกลง จากนั้นเรื่องราวเหล่านี้ก็นำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “Happy ending”
            ด้วยเหตุนี้ วลีที่ว่า “Seize the day” (จงฉกฉวยวันเวลาเอาไว้) จึงไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อความเท่อย่างเดียวแน่นอน
            ฉะนั้นแล้ว ผมย่อมรู้ดีว่าสถานการณ์แบบนี้ ผมควรทำอย่างไร...
            แต่บางทีคนที่รู้ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำสิ่งนั้นได้สำเร็จเสมอไป เหมือนมีบางอย่างสกัดกั้นไม่ให้ผมเข้าไปทักทายทำความรู้จักเธอ ความรู้สึกบางอย่างเตือนผมว่าผมไม่ควรทำ หรือบางทีอาจเป็นเพียงอาการปอดแหกของผู้ชายขี้อายอย่างผมก็ได้ ผมอาจจะกลัว กลัวทุกอย่าง กลัวเธอจะหาว่าผมโรคจิต กลัวเธอจะไม่ประทับใจ กลัวผู้คนรอบข้างที่อาจจ้องมองผมด้วยสายตาประหลาด
            “สถานีต่อไป... เอกมัย”
            เสียงประกาศดังออกจากลำโพง เธอเก็บไอโฟนใส่กระเป๋า ทำท่าทางเหมือนเตรียมตัวจะลงที่สถานีดังกล่าว ทำอย่างไรดีล่ะ ยังอีกนานกว่าจะถึงสถานีปลายทาง ผมจะต้องปล่อยโอกาสที่พระเจ้าหยิบยื่นมาให้หลุดมือไปเช่นนี้จริงหรือ?

            ตั้งใจจะไปลงพร้อมพงษ์ แต่ฉันจะลงพร้อมเธอ ~

            แม้เพลงนี้จะจบไปสักพักแล้ว แต่เสียงร้องของท่อนนี้ยังดังก้องอยู่ในหัว แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจลงพร้อมพงษ์ก็ตาม แต่ผมก็อยากจะลงพร้อมเธอมากๆ
            ประตูรถไฟฟ้าเปิดออก เธอลุกแล้วก้าวออกไปทันที ผมตัดสินใจในเสี้ยววินาที ก้าวตามเธอออกมา พลางนึกในใจ “กูทำอะไรอยู่?”
            แต่ในเมื่อลงมาแล้ว อย่างไรก็ต้องทำในสิ่งที่พอจะทำได้ให้ถึงที่สุด ผมเดินตามเธอ เริ่มรู้สึกเหมือนเป็นโรคจิตนิดๆ แต่อีกไม่นานหรอก ผมจะเข้าไปพูดกับเธอเหมือนพระเอกหนังเรื่องนั้น ผมคิดในใจ
            ผมเดินเข้าใกล้เธอมากขึ้นเรื่อยๆ หัวใจก็เต้นถี่และดังขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน แต่แล้วผมก็ต้องชะงัก
            เธอโบกมือให้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ห่างออกไปประมาณ 10 เมตร เขาผิวขาว คิ้วเข้ม หน้าตาเกลี้ยงเกลา ดูดีกว่าผมหลายเท่าตัว
            เธอตะโกนเบาๆ ด้วยเสียงใสๆ ว่า “รอนานมั้ย?”
            พร้อมกับชายคนนั้นที่ส่งยิ้มและเดินเข้ามาหาเธอ
            หัวใจของผมกลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติ ออกจะหนืดๆ เนือยๆ กว่าเดิมเล็กน้อย ผมหันหลังกลับแล้วมุ่งหน้าเดินไปยังบันไดเพื่อขึ้นรถไฟฟ้าสายเดิมกลับบ้าน ในใจพลางคิดว่า เสียเที่ยว แต่ไม่เป็นไร
            ผมเสียใจ แต่ไม่รู้สึกเสียดาย
            นี่คงเป็นสิ่งที่เตือนผมว่าไม่ควรจะทำความรู้จักกับเธอ พระเจ้าไม่ได้หยิบยื่นโอกาสใดๆ ให้ผม ท่านอาจจะแค่เล่นตลกกับคนซื่อๆ อย่างผมเท่านั้น แต่อย่างน้อยผมก็ยังฉกฉวยวันเวลาไว้
            บางทีเรื่องสั้นเรื่องนั้นที่ผมอ่าน อาจไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อเตือนใจให้เราคว้าโอกาสตรงหน้ามาไว้ในกำมือ
            แต่เขียนขึ้นเพื่อตอกย้ำว่าจะมีสักกี่คนที่คว้ามันไว้ได้อย่างสมบูรณ์
            แม้โอกาสอยู่ตรงหน้า แต่ก็มีเหตุผลอีกหลากหลายประการ ที่ต่อให้เราไม่ปล่อยโอกาสนั้นหลุดลอยไป แต่ก็ใช่ว่าโอกาสนั้นมันจะเป็น “โอกาสของเรา”
            ชีวิตจริงไม่ได้โรแมนติกและจบด้วย Happy ending เหมือนนิยายหรือภาพยนตร์ ข้อจำกัดหลายอย่างทำให้ต้องมีคนที่ไม่สมหวัง
            “มาช้านะยะหล่อน!” เสียงที่ฟังดูสะดีดสะดิ้งดังมาจากเบื้องหลัง
            เป็นเสียงโทนต่ำ ไม่ใช่โทนสูง!
            พระเจ้าเล่นตลก
            หัวใจของผมเต้นถี่และดังขึ้นอีกครั้ง

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ปฐมบทแห่งกระดอง

อาชีพต่างๆ ในโลกนี้มีหลากหลาย ใครทำอะไรหาเลี้ยงชีพก็เป็นคนอาชีพนั้นๆ เตะฟุตบอลก็เป็นนักฟุตบอล ค้าขายก็เป็นพ่อค้าแม่ขาย เล่นดนตรีก็เป็นนักดนตรี ฯลฯ

แต่สำหรับนักเขียนนั้นอาชีพของเขาไม่ใช่แค่เขียน แต่ึืคือการคิด

งานของเขาใช้สมองมากกว่าสองมือ เขาใช้สมองประมวลสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้ออกมาเป็นไอเดีย อาจแต่งเสริมด้วยจินตนาการบ้าง จากนั้นจึงถ่ายทอดออกมาสู่ีตัวอักษร

การเขียนจึงเป็นการถ่ายทอดความคิดและจินตนาการออกมา ประโยชน์ของมันไม่ใช่เพียงแค่สนองความต้องการของผู้เขียน แต่มันก็การสร้างสิ่งดีๆ ให้ผู้อ่าน สิ่งดีๆ ที่เรียกว่าความสุข ความสนุก รวมไปถึงความรู้

ชาติ กอบจิตติเคยกล่าวไว้ในบทความบทหนี่งว่า นักเขียนเป็นอาชีพที่มีชื่อเสียง แต่แปลกที่ความมีชื่อเสียงกลับไม่ขึ้นตรงกับเงินทอง นักเขียนไม่ใช่อาชีพที่รายได้ดีนักหากพูดกันตามตรง

เราจึงได้ยินคำว่า นักเขียนไส้แห้งอยู่บ่อยๆ

แต่เหตุที่ต้องมีชื่อเสียงนั้น เพราะนักเขียนต้องการนักอ่าน ต้องการคนที่มารับรู้ความคิดของเขา มีความสุขและอารมณ์ร่วมไปกับผลงานของเขา

มันเหมือนการบรรเลงเพลง แม้จะไพเราะแค่ไหน หากไร้ซึ่งผู้ฟัง เพลงนั้นก็อาจสูญเสียความสำคัญไป

รงค์ วงษ์สวรรค์จึงกล่าวว่า "ผู้อ่านคือลมหายใจของนักเขียน"

แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตย่อมต้องการลมหายใจเพื่อการลืมตาตื่นนอนในวันถัดๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือสัตว์

แม้สิ่งมีชีวิตมีกระดองที่คลานช้าต้วมเตี้ยมอย่างผมก็ยังต้องการลมหายใจ

แม้ผมจะเป็นเต่าแต่ผมก็เพิ่งฟักจากไข่้ได้ไม่นานนัก ไม่ได้เป็นผู้เฒ่าเต่าที่ผ่านโลกมานานนับพันปีและมีความรู้เต็มกระดอง

ความรู้ของผมเท่าหางเต่า แต่ก็เป็นหางของผมเอง ฉะนั้นถึงผมรู้น้อย แต่ผมรู้ตัว

ผมรู้น้อยถึงขนาดที่ไม่รู้ว่ากระต่ายวิ่งเร็วกว่าผมมากแค่ไหน แต่ผมก็รู้ตัวว่าผมวิ่งช้า และผมก็พยายามวิ่งอย่างเต็มที่เพื่อเข้าเส้นชัย

ผมขี้ตกใจและบางครั้งผมก็หดหัวอยู่ในกระดองพอเกิดเรื่อง แต่ผมก็กล้าพอที่จะไม่ิวิ่งหนีไปไหน (อาจเพราะวิ่งหนีไม่ทัน) แอบฟังสถานการณ์อยู่เงียบๆ ในกระดองโล่งๆ จากนั้นก็คิดเท่าที่สมองจะคิดได้ และ
แม้จะเป็นเพียงแค่เต่าตัวน้อย แต่ผมก็ชอบถ่ายทอดความคิดเช่นกัน

เป็นความคิดที่รู้น้อย แต่คิดไม่น้อย และที่สำคัญคือ...

ผมต้องการ "ลมหายใจ"

ต้องการเพื่อต่อชีวิตและต่อความคิด

ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้อากาศบริสุทธิ์ๆ ที่เข้ามาเยี่ยมเยียนในนี้ต้องหมองหม่น

ขอบคุณที่เป็นอากาศให้ผมได้มีลมหายใจ




คาเมะคุง