-->
ผู้อ่านคือลมหายใจของนักเขียน

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

โอกาสของเรา

           หนีจากความวุ่นวาย ขึ้นมา sky train ~

            เจอผู้คนมากมาย ขึ้นมา sky train~

            เพลง sky train ของวงดนตรีอินดี้อย่าง The Jukk ดังผ่านสายหูฟังเข้ามาในรูหูระหว่างที่ผมกำลังเดินขึ้นบันไดไปรอ BTS บนสถานีอารีย์เพื่อเดินทางสู่สถานีปลายทางแบร์ริ่ง ช่างเข้ากับบรรยากาศดีแท้
            ผมเดินเข้าไปในพาหนะลอยฟ้าที่ขับเคลื่อนโดยไม่ใช้น้ำมัน หลังพิงราวจับข้างประตูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตูที่ผมเข้า มันเป็นที่ประจำของผม
            วันนี้เป็นเช่นทุกวันในเวลาเร่งด่วนของมนุษย์เมือง บนรถไฟฟ้าผู้คนยืนเบียดเสียดใกล้ชิดกัน แต่ไม่มีใครสนใจคนรอบตัว บางคนจดจ่อไปที่สมาร์ทโฟนบนมือ จิ้มนิ้วบนจอทัชสกรีนไปมา บางคนเปิดหนังสืออ่าน เห็นจะมีแต่ผมที่สอดส่ายสายตาสังเกตผู้คนรอบข้าง มันเป็นนิสัยของผม
            แม้ภาพที่ปรากฏจะเป็นดังเช่นทุกวัน แต่ผมก็รู้สึกเพลินกว่าการจ้องไปยังวัตถุใดวัตถุหนึ่งนานๆ
            ทว่าวันนี้ มีวัตถุบางอย่างที่ผมไม่อาจละสายตาได้
            วัตถุมีชีวิตผิวขาว ผมยาว ดวงตากลม ร่างกายบอบบางแต่แฝงด้วยความมั่นใจ นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เยื้องออกไปสองที่นั่ง ในมือถือไอโฟนกรอบสีดำ สายตาจ้องไปที่หน้าจออย่างจดจ่อ เหมือนเธอกำลังพิมพ์อะไรอยู่ บางอย่างบนหน้าจอโทรศัพท์ทำให้เธอหัวเราะเบาๆ แต่ฉีกยิ้มกว้างเห็นฟันขาวเรียง แม้ผู้คนมากมายยืนขวางกั้น แต่จากมุมนี้ ผมเห็นเธอชัดเจน

            ผู้คนรุมเร้าเข้ามา เดินไปชนกันพอดี เจอคนที่หามานาน sky train ~

            เพลงบรรเลงไปถึงท่อนนี้พอดี ประจวบเหมาะกับหัวใจผมที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมองหน้าเธอนานๆ
            ใครจะเชื่อว่าผมตกหลุมรักคนที่ไม่รู้จัก
            ผมเคยอ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของ ชาติวุฒิ บุณยรักษ์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับชายคนหนึ่งซึ่งไปตกหลุมรักหญิงสาวที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก จากนั้นเขาเฝ้ารอโอกาสที่จะทำความรู้จัก แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ทันการ โอกาสที่พระเจ้าหยิบยื่นให้ลอยหลุดหายไป ชายคนนั้นได้แต่พร่ำเพ้อและโทษตัวเอง
            ผู้เขียนยังอ้างถึงหนังฝรั่งที่พระเอกพบกับนางเอกบนรถไฟ ก่อนนางเอกจะลงจากขบวน พระเอกตรงเข้าไปหาแล้วพูดกับเธอว่า อย่าหาว่าเขาเป็นคนบ้าเลยที่เข้ามาคุยกับเธอโดยที่ไม่รู้จัก เขาเพียงแต่รู้สึกว่าหากเขาปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป เขาจะเสียใจไปทั้งชีวิต นางเอกไม่พูดอะไร เพียงยิ้มตอบเล็กๆ เขาจึงขอให้เธอเป็นไกด์พาเที่ยว แล้วเธอก็ตกลง จากนั้นเรื่องราวเหล่านี้ก็นำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “Happy ending”
            ด้วยเหตุนี้ วลีที่ว่า “Seize the day” (จงฉกฉวยวันเวลาเอาไว้) จึงไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อความเท่อย่างเดียวแน่นอน
            ฉะนั้นแล้ว ผมย่อมรู้ดีว่าสถานการณ์แบบนี้ ผมควรทำอย่างไร...
            แต่บางทีคนที่รู้ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำสิ่งนั้นได้สำเร็จเสมอไป เหมือนมีบางอย่างสกัดกั้นไม่ให้ผมเข้าไปทักทายทำความรู้จักเธอ ความรู้สึกบางอย่างเตือนผมว่าผมไม่ควรทำ หรือบางทีอาจเป็นเพียงอาการปอดแหกของผู้ชายขี้อายอย่างผมก็ได้ ผมอาจจะกลัว กลัวทุกอย่าง กลัวเธอจะหาว่าผมโรคจิต กลัวเธอจะไม่ประทับใจ กลัวผู้คนรอบข้างที่อาจจ้องมองผมด้วยสายตาประหลาด
            “สถานีต่อไป... เอกมัย”
            เสียงประกาศดังออกจากลำโพง เธอเก็บไอโฟนใส่กระเป๋า ทำท่าทางเหมือนเตรียมตัวจะลงที่สถานีดังกล่าว ทำอย่างไรดีล่ะ ยังอีกนานกว่าจะถึงสถานีปลายทาง ผมจะต้องปล่อยโอกาสที่พระเจ้าหยิบยื่นมาให้หลุดมือไปเช่นนี้จริงหรือ?

            ตั้งใจจะไปลงพร้อมพงษ์ แต่ฉันจะลงพร้อมเธอ ~

            แม้เพลงนี้จะจบไปสักพักแล้ว แต่เสียงร้องของท่อนนี้ยังดังก้องอยู่ในหัว แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจลงพร้อมพงษ์ก็ตาม แต่ผมก็อยากจะลงพร้อมเธอมากๆ
            ประตูรถไฟฟ้าเปิดออก เธอลุกแล้วก้าวออกไปทันที ผมตัดสินใจในเสี้ยววินาที ก้าวตามเธอออกมา พลางนึกในใจ “กูทำอะไรอยู่?”
            แต่ในเมื่อลงมาแล้ว อย่างไรก็ต้องทำในสิ่งที่พอจะทำได้ให้ถึงที่สุด ผมเดินตามเธอ เริ่มรู้สึกเหมือนเป็นโรคจิตนิดๆ แต่อีกไม่นานหรอก ผมจะเข้าไปพูดกับเธอเหมือนพระเอกหนังเรื่องนั้น ผมคิดในใจ
            ผมเดินเข้าใกล้เธอมากขึ้นเรื่อยๆ หัวใจก็เต้นถี่และดังขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน แต่แล้วผมก็ต้องชะงัก
            เธอโบกมือให้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ห่างออกไปประมาณ 10 เมตร เขาผิวขาว คิ้วเข้ม หน้าตาเกลี้ยงเกลา ดูดีกว่าผมหลายเท่าตัว
            เธอตะโกนเบาๆ ด้วยเสียงใสๆ ว่า “รอนานมั้ย?”
            พร้อมกับชายคนนั้นที่ส่งยิ้มและเดินเข้ามาหาเธอ
            หัวใจของผมกลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติ ออกจะหนืดๆ เนือยๆ กว่าเดิมเล็กน้อย ผมหันหลังกลับแล้วมุ่งหน้าเดินไปยังบันไดเพื่อขึ้นรถไฟฟ้าสายเดิมกลับบ้าน ในใจพลางคิดว่า เสียเที่ยว แต่ไม่เป็นไร
            ผมเสียใจ แต่ไม่รู้สึกเสียดาย
            นี่คงเป็นสิ่งที่เตือนผมว่าไม่ควรจะทำความรู้จักกับเธอ พระเจ้าไม่ได้หยิบยื่นโอกาสใดๆ ให้ผม ท่านอาจจะแค่เล่นตลกกับคนซื่อๆ อย่างผมเท่านั้น แต่อย่างน้อยผมก็ยังฉกฉวยวันเวลาไว้
            บางทีเรื่องสั้นเรื่องนั้นที่ผมอ่าน อาจไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อเตือนใจให้เราคว้าโอกาสตรงหน้ามาไว้ในกำมือ
            แต่เขียนขึ้นเพื่อตอกย้ำว่าจะมีสักกี่คนที่คว้ามันไว้ได้อย่างสมบูรณ์
            แม้โอกาสอยู่ตรงหน้า แต่ก็มีเหตุผลอีกหลากหลายประการ ที่ต่อให้เราไม่ปล่อยโอกาสนั้นหลุดลอยไป แต่ก็ใช่ว่าโอกาสนั้นมันจะเป็น “โอกาสของเรา”
            ชีวิตจริงไม่ได้โรแมนติกและจบด้วย Happy ending เหมือนนิยายหรือภาพยนตร์ ข้อจำกัดหลายอย่างทำให้ต้องมีคนที่ไม่สมหวัง
            “มาช้านะยะหล่อน!” เสียงที่ฟังดูสะดีดสะดิ้งดังมาจากเบื้องหลัง
            เป็นเสียงโทนต่ำ ไม่ใช่โทนสูง!
            พระเจ้าเล่นตลก
            หัวใจของผมเต้นถี่และดังขึ้นอีกครั้ง

6 ความคิดเห็น:

  1. อ๋อ เต้นถี่อีกครั้ง เพราะจะได้เดินไปจีบผู้หญิงคนนั้นต่อ

    ตอบลบ
  2. เพราะเกย์คนนั้นช่างหล่อเหลือเกินอร๊ายยยยยย 55

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ8 ธันวาคม 2554 เวลา 07:49

    เป็นงานเขียนที่ดีนะครับ
    แม้โทนของเนื้อหาจะไม่ได้หวือหวามาก
    แต่ก็ทรงพลัง แล้วก็ลงตัวดี

    ตอบลบ
  4. ยิ้มกว้างในตอนท้าย :)

    ตอบลบ
  5. ~ ที่ตรงนี้ นั้นมีแต่ความรัก ตั้งแต่วันที่เธอเข้ามา
    ที่ตรงนี้นั้นไม่เหงา ไม่ต้องมีน้ำตา
    เมื่อชั้นได้พบเธอก็เปลี่ยนไปป~

    ชั้นนั่งเพลงนี้จากไอโฟนปลอกดำที่พกติดตัวตลอดเวลา เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วนนะที่ฟังเพลงนี้ ตั้งแต่ออกจากบ้านจนอยู่บนรถไฟฟ้าเนี่ย ช่างมันเถอะ...เป็นเพลงที่ฟังแล้วอยากให้มีผู้ชายดีๆ สักคนร้องให้ฟังบ้างจริงๆ

    อันที่จริงแล้วตัวชั้น นับว่าเป็นผู้หญิงที่ชีวิตได้พบเจอกับความลำบากน้อยเหลือเกิน จนบางครั้งพาลให้คิดไปว่า ชีวิตน่าเบื่อจัง

    ชั้นมีครอบครัวที่น่ารัก พ่อแม่ที่ดี เพื่อนๆมากมาย ชีวิตที่เพรียบพร้อม แต่บางทีชีวิตคนเราก็เหมือนต้นตะบองเพชร

    ที่ชั้นว่าเหมือน ต้นตะบองเพชร ก็เพราะชั้นหมายถึงว่า มันต้องการน้ำมาหล่อเลี้ยง ให้สดชื่น มันต้องการแสงแดดเพื่ออยู่รอด ชีวิตของชั้นที่เพรียกพร้อมเหมือนมีแสงแดดให้อยู่รอดไปวันๆ
    แต่ขาดก็แต่อีกส่วนที่สำคัญก็คือ "น้ำ" ที่ทำให้สดชื่น

    แม้ว่าชั้นจะเป็น ตะบองเพชร ที่สามารถอยู่ได้แม้ว่า "น้ำ" จะน้อยเพียงใด แต่ก็อยากให้ทุกคนรู้ว่าตะบองเพชร นั้น รอคอยให้ฟ้าเทฝน เทน้ำ เทความสดชื่นมาให้เสมอ

    ~~ คำว่ารักที่แท้เป็นเช่นไร เมื่อได้รัก~

    ตอนนี้ชีวิตชั้น ก็คงขาดแค่ความสดชื่น แต่ไม่เป็นไรหรอก คุณพ่อคุณแม่บอกเสมอว่า เมื่อถึงเวลาลูกก็จะเจอคนที่ใช่ คนที่ทำให้ชีวิตสดชื่น เองล่ะ

    โอกาส สำหรับผู้หญิงอย่างชั้นแล้ว เรื่องอย่างงี้ ต้องรอให้มันวิ่งเข้ามาหา ถ้าวิ่งเข้าไปหามัน มันจะดูไม่งามนักแต่อยากให้มีคนนั้นมาทักเร็วๆจังน้าา

    ~ จะรักเธอนานๆ จนรักกใครไม่ได้~
    ที่รัก ชั้นรักเธอได้ยินไหมม~

    ...สถานีต่อไป ....เอกมัย

    อ๊ะ!! ลงล่ะ อีปุ้ย รอนานละ....

    ตอบลบ