-->
ผู้อ่านคือลมหายใจของนักเขียน

วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

นับถอยหลัง

             เขาเดินทวนกระแสผู้คนไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบ  มือข้างหนึ่งสงบนิ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกง อีกข้างตวัดล้วงด้วยความเร็ว ไม่ถึงเสี้ยววินาทีกระเป๋าสตางค์ของผู้ที่เดินสวนไปก็อยู่ในกำมือ เขานำของมีค่าที่ฉกมาได้ง่ายดายดังมายากลใส่ลงในกระเป๋าสะพายข้าง ทีละครั้ง ทีละครั้ง จนเต็ม
            เขายังไม่คิดจะหยุดเดินและเช็กมูลค่าของที่ได้มาทั้งหมด เนื่องด้วยในสถานที่และห้วงเวลาเช่นนี้ เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน – ผู้คนที่ต่างมาเฝ้ารอการเริ่มต้นใหม่ของปี ซึ่งเหลืออีกไม่กี่ชั่วโมง เสียงโห่ร้องกึกก้อง เสียงพลุแตก และเพลงสวัสดีปีใหม่ก็จะดังขึ้นต้อนรับวันเวลาใหม่ๆ
            ผู้คนจำนวนมากตั้งปณิธานไว้กับตัวเองเมื่อถึงวันสิ้นปีว่าในปีหน้าอยากจะทำอะไรให้สำเร็จบ้าง สำหรับเขาก็เช่นกัน
            “ฉันจะเลิกเป็นนักล้วงกระเป๋าเสียที” เขาพูดกับตัวเอง เมื่อเข็มวินาทีเลยเลข 12 ไปในเวลาเที่ยงคืน อาชีพนักล้วงจะถูกทิ้งไว้ในวันสิ้นปี ฉะนั้นแล้ว ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ยังเหลืออยู่เป็นโอกาสที่เขาจะทิ้งทวน
            เขาเดินฝ่ากระแสผู้คนไปเรื่อยๆ มือทั้งสองล้วงกระเป๋ากางเกงเป็นสัญญาณบอกว่าเขาพอกับจำนวนที่ได้มา เมื่อเลยห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่ตั้งเรียงติดกันถึงสามอาคารมา ผู้คนเริ่มเบาบางลง เขาหยุดที่ใต้บันไดของสะพานลอยแห่งหนึ่ง เปิดกระเป๋าสะพายตรวจดูสิ่งของภายใน
            “ได้มามากโขสินะ หึหึ...”
            ชายลึกลับปรากฏตัวอยู่ข้างกายนักล้วง เขาสวมกางเกงวอร์มสีน้ำเงินเข้ม รองเท้าผ้าใบสำหรับวิ่ง และเสื้อแจ็กแก็ตสีดำ ฮูทหนาครอบหัวของเขาจนยากที่จะเห็นใบหน้า ยิ่งในบรรยากาศที่สลัวด้วยความมืดและมีเพียงแสงไฟข้างทางริบหรี่ทำให้เขาดูลึกลับจนน่าขนลุก
            “นายเป็นใคร?” ชายนักล้วงเอ่ยถามพร้อมอาการสะดุ้งเล็กน้อย
            “เห็นว่าปีใหม่แล้วแกจะเลิกงานนี้เรอะ น่าเสียดายฝีมือของแกเสียนี่กระไร ได้ข่าวว่าแกยังไม่เคยถูกจับได้แม้แต่ครั้งเดียวสินะ ฉันว่านี่มันพรสวรรค์ชัดๆ”
            “แกเป็นใคร? แล้วรู้เรื่องของฉันได้ยังไง แกต้องการอะไร”
            “แค่ความบันเทิงในวันสิ้นปีน่ะ ฉันอยากรู้ว่าแกมีฝีมือมากกว่าแค่ล้วงกระเป๋าหรือเปล่า หึหึ...”
            ชายลึกลับยื่นสมุดบันทึกปกแข็งเล่มหนึ่งใส่มือนักล้วงโดยไม่ให้ตั้งตัว แล้วหันหลังเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว ลับหายเข้าไปในมุมตึก ชายนักล้วงพยายามวิ่งตามไปแต่พ้นจากมุมตึกไปเขาก็เห็นเพียงความว่างเปล่า
            สมุดบันทึกเล่มนั้นยังคงอยู่ในมือของเขา มันหนักกว่าที่เขาประเมินไว้จากขนาดของมันมาก เขาเปิดไล่ดูตั้งแต่หน้าแรก เป็นกระดาษเปล่า จนถึงกลางเล่มจึงพบข้อความอยู่ประมาณ 4-5 บรรทัด
            “22.36 น. นักล้วงกระเป๋าผู้น่าสงสารจะถูกหมาวิ่งไล่”
            “22.53 น. นักล้วงกระเป๋าผู้น่าสมเพชจะหกล้มด้วยความโง่”
            อ่านได้เพียงสองบรรทัด เขาก็คิดว่านี่เป็นการเล่นตลกไร้สาระของคนบ้าเท่านั้น เขาโยนสมุดบันทึกที่หนักเกินตัวทิ้งไปด้านหลัง มันกระทบกับวัตถุบางอย่างเข้าอย่างจัง ทันใดนั้นเขาก็ขนลุกซู่ด้วยเสียงคำรามของสัตว์ร้าย
            “ชิบหาย!
            สัตว์ร้ายสีดำแยกเขี้ยวขู่คำรามและกระโจนใส่เขาทันที เขากัดฟันสาวเท้าสุดชีวิต วิ่งตัดหน้ารถข้ามไปยังถนนอีกฟาก เสียงแตรดังยาวตามด้วยเสียงเบรกแหลมบาดแก้วหู ก่อนจะตามมาด้วยเสียงตะโกนด่าของเจ้าของรถ แต่วินาทีนั้น เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรชัดเจนนัก เขาคว่ำแขนซ้ายลงเพื่อดูเวลา
            “พระเจ้า! แม่นอย่างกับจับวาง”
            เขานั่งหายใจหอบอยู่ริมถนน จนศัตรูสี่ขาของเขาเบื่อที่จะเห่าแล้วเดินจากไป เขานึกถึงข้อความในสมุดบันทึก พยายามคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ แต่มันก็แม่นยำจนยากที่จะปฏิเสธ เขาหันไปมองถนนอีกฟากหนึ่ง สมุดบันทึกยังคงนอนแผ่อยู่บนพื้น เขาไม่รอช้าที่จะข้ามกลับไป แต่แล้ว...
            พลั่ก!
            เขาเหยียบเปลือกกล้วย
            เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ นี่ไม่ใช่การ์ตูน แต่มีเปลือกกล้วยวางอยู่ตรงนั้นจริงๆ เขาร้องโอดโอยด้วยอาการเจ็บบริเวณสะโพก มองนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง เข็มสั้นและเข็มยาวอยู่บริเวณใกล้เคียงกันระหว่างเลข 10 และ 11 เขาเริ่มไม่สบอารมณ์และคิดว่าต้องมีคนวางแผนอะไรสักอย่าง
            เขาหยิบสมุดบันทึกมาเปิดดู อ่านข้อความถัดไป
            “23.19 น. นักล้วงกระเป๋าผู้โชคร้ายจะสูญเสียของที่ขโมยมาได้ทั้งหมด”
            “ว่าไงนะ ไม่มีทางหรอกโว้ย!” เขาสบถใส่สมุดบันทึกและกอดกระเป๋าสะพายข้างไว้แน่นราวกับว่าหากมีใครจะมากระชากไปก็ต้องตัดแขนของเขาไปด้วย คราวนี้เขาจะไม่ยอมให้คำทำนายบ้าๆ ในสมุดเป็นจริง เขาเหนื่อยกับการเล่นตลกของชายแปลกหน้าคนนั้น จึงตัดสินใจถอยทัพ
            เขาเดินกลับไปยังบริเวณที่คับคั่งด้วยผู้คนอีกครั้งเพื่อขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน บรรยากาศแออัดมากขึ้นเนื่องจากคนเริ่มทยอยมารอนับถอยหลัง เขาหลุดจากคลื่นฝูงชนมาได้และตรงไปยังทางขึ้น เขาไม่ทันสังเกตว่ามีคนคอยต้อนรับเขาอยู่
            “เพื่อความปลอดภัยของทุกคน เจ้าหน้าที่ขอตรวจกระเป๋าด้วยครับ”
            เขาไม่แน่ใจว่านี่เป็นการวางแผน เป็นความบังเอิญ เป็นโชคชะตา หรือพระเจ้ากลั่นแกล้งกันแน่ แต่อย่างไรคราวนี้เขาจะไม่ยอมให้คำทำนายเป็นจริง ฉะนั้นแล้ว เขาเร่งฝีเท้าหนี
            เจ้าหน้าที่สองคนเห็นพิรุธจึงวิ่งไล่ตาม เขาวิ่งหลบเข้าไปในฝูงชน เสียงนกหวีดของเจ้าหน้าที่ทำให้ผู้คนแตกฮือ พลเมืองดีสองสามคนเริ่มเข้าใจสถานการณ์ พยายามจะวิ่งตะครุบตัวเขาไว้ เขาจึงตัดสินใจโยนกระเป๋าทิ้งเพื่อเบนความสนใจ และมันก็ได้ผล เขาวิ่งหลบหายเข้าไปในห้างสรรพสินค้าใหญ่ นั่งพักเหนื่อยบนเก้าอี้สาธารณะ
            ยากที่จะทำใจยอมรับว่านี่เป็นเรื่องจริง ข้อความที่เขียนลงในสมุดนี้เกิดขึ้นจริงทั้งหมด เขาพลิกสมุดขึ้นมาอ่านอีกครั้งด้วยลมหายใจเหนื่อยหอบ เหลือเพียงข้อความสุดท้ายเท่านั้น
            “0.00 น. ห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางเมืองทั้งสามแห่งจะถูกระเบิด
            “นี่มันจะมากไปแล้วนะ ไอ้บ้าเอ๊ย”
            อันที่จริงแล้ว ชายนักล้วงผู้ซึ่งรู้เหตุการณ์ก่อนหน้า เพียงชิ่งหนีไปเขาก็จะรอด แม้ผู้คนนับหมื่นพันอาจต้องเป็นเหยื่อโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เขารู้ดีว่าไม่มีความจำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือคนอื่นที่เขาไม่ได้รู้จักมักจี่ด้วย
            ท้องฟ้ามืดสนิท แต่แสงไฟจากพื้นดินนั้นส่องสว่างกลบแสงของดวงดาวทั้งหมดให้เลือนหาย ผู้คนต่างเฝ้ารอการเฉลิมฉลองอย่าใจจดใจจ่ออยู่กลางลานกว้างหน้าห้างสรรพสินค้าที่ตกแต่งประดับประดาด้วยไฟหลากสี รอยยิ้มของผู้คนส่องระยิบระยับให้ความรู้สึกอบอุ่นท่ามกลางลมพัดเย็น
            เขามองออกมาทางกระจกหน้าต่างชั้นบนสุดของห้างสรรพสินค้า ภาพที่สวยงามนี้เขาไม่อยากเปลี่ยนมันให้กลายเป็นความพินาศ เขาต้องทำอะไรสักอย่าง ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นในหัว
            เขาเดินตรงไปยังแผนกเครื่องเขียน หยิบปากกาขึ้นมาหวังจะเปลี่ยนคำทำนาย แต่ทว่าไม่มีปากกาแท่งไหนสามารถทำให้สมุดเล่มนี้เปรอะเปื้อนหมึกได้
            “ฉลาดดีนี่ แต่เขียนไม่ติดหรอกนะ ถ้าไม่ใช่ปากกาของฉันน่ะ หึหึ...”
            ชายลึกลับเจ้าเก่าปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง พร้อมโชว์ปากกาหมึกซึมสีดำมีลายทองตัดขอบ แล้วเก็บมันเข้าในกระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ต
            “แก ลบข้อความนั่นเดี๋ยวนี้นะ แกรู้ตัวรึเปล่าว่าแกทำอะไรอยู่ คนมากมายจะต้องตายเพราะแกนะ เลิกเล่นบ้าๆ ซะที”
            “การวางระเบิดตามจุดต่างๆ ในวันสิ้นปีมันก็เกิดขึ้นเป็นประจำนั่นแล่ะ แต่พอเวลาผ่านไป ผู้คนก็เลิกกลัว เลิกจดจำ และไม่เข็ดหลาบ ดูสิว่าที่ลานนั่นมีใครหน้าไหนกลัวระเบิดกันบ้าง”
            ชายเจ้าของสมุดบันทึกพล่ามต่อ “พอวันสิ้นปีมาถึง ผู้คนก็นึกถึงแต่เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เฝ้าอวยพรขอพรให้ร่ำรวยบ้าง ให้โชคดีบ้าง แต่ไม่เคยนึกทบทวนถึงเรื่องที่ผ่านมาว่าเกิดอะไรไม่ดีขึ้น เพื่อจะได้แก้ไขปรับปรุง ไม่มีเลยสักคน”          
            “ฉันนี่ไง! ฉันตั้งใจแล้วว่าพอหมดสิ้นปีไปฉันจะเลิกเป็นนักล้วง เพราะเข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมาสิ่งที่ฉันทำไปมันไม่ถูกต้องนัก แล้วแกล่ะ เอาชีวิตคนมาเล่นตลกแบบนี้ คิดว่าดีนักหรือไง”
            “คิดว่าแกจะทำได้หรือ การล้วงกระเป๋ามันเป็นพรสวรรค์ของแก แกห้ามมันไม่ได้หรอก แต่ตอนนี้แกห่วงชีวิตของตัวเองก่อนเถอะนะ หึหึ...”
            “สิบเก้า... สิบแปด... สิบเจ็ด...” เสียงตะโกนดังมาจากทั่วสารทิศ ทุกคนร่วมนับถอยหลังสู่ศักราชใหม่พร้อมกัน แต่หารู้ไม่ว่า นั่นอาจเป็นการนับถอยหลังสู่โศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว
            “ในเมื่อเป็นแบบนี้            ฉันจะลากแกตายไปพร้อมกับทุกคนซะเลย” เขาเดินปรี่ไปหาชายสวมแจ็กเก็ต
            “คิดจะสู้กับฉันงั้นเรอะ” ชายลึกลับตั้งท่าชกมวยแบบกวนประสาท แล้วเต้นสลับขาไปมาแบบบรู๊ซลี
            “เข้ามาเลยซี่ ฮ่าๆๆ”
            เขาเดินผ่านชายคนนั้นไปด้วยท่าทีเรียบเฉย ไม่สนใจท่าทางยียวนใดๆ ชายสวมแจ็กเก็ตประหลาดใจ แล้วก็รู้สึกตัวได้ว่าของบางอย่างหายไป เขาทำตาโต จ้องหน้าชายนักล้วงด้วยความตื่นเต้น
            “ฮ่าๆๆ แกนี่มันน่าสนใจจริงๆ ด้วย แต่ถึงจะขีดฆ่าไป ก็ไม่มีผลอะไรหรอกนะ สิ่งที่ถูกเขียนไปแล้วไม่มีทางแก้ไขได้อีก”
            เสียงนับถอยหลังเริ่มใกล้เลขศูนย์มาขึ้นเรื่อยๆ เขารีบเปิดสมุดบันทึกแล้วเขียนบางอย่างลงไป
            “บอกแล้วไงว่าถึงจะขีดค่ามันก็ไม่มีผลน่ะ ฮ่าๆๆ”
            “สาม... สอง.. หนึ่ง!
            ตูม!...
            เสียงระเบิดดังจากแผนกซุปเปอร์มาเก็ต ซีเรียลยี่ห้อหนึ่งแตกกระจายเป็นกองพะเนิน ผู้คนบริเวณนั้นอยู่ในอาการตกใจและงุนงงไปพร้อมๆ กัน ทว่า ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
            “แกเขียนอะไรลงไป”
            “เอาไปอ่านเล่นแล้วกัน”
            อดีตนักล้วงยื่นสมุดบันทึกคืนให้ ยิ้มมุมปาก แล้วเดินหันหลังจากไป ทิ้งชายในเสื้อแจ็กเก็ตไว้เบื้องหลัง...
            เขาเดินทวนกระแสผู้คนไปช้าๆ มือข้างหนึ่งสงบนิ่งอยู่ในประเป๋ากางเกง อีกข้างถือวัตถุด้ามยาวไว้อย่างมั่นคง เขามองดูมันอย่างพินิจ ก่อนจะหัวเราะหึๆ ในลำคอ
            ชายลึกลับต้องการคำตอบสำหรับเรื่องนี้ เขาเปิดสมุดไปยังหน้าที่มีข้อความ พบสิ่งที่ถูกเขียนเติมเข้าไป    
          “0.00 น. ห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางเมืองทั้งสามแห่งจะถูกระเบิด...
          ...ด้วยกล่องซีเรียลในแผนกซุปเปอร์มาเก็ต ตูม! เกิดเป็นโกโก้ครั้นช์”                
            “ฮ่าๆๆ แกนี่มันน่าสนใจจริงๆ”
            ทันใดนั้นเขาก็พลิกหน้าไปพบข้อความใหม่ที่ถูกเขียนเพิ่ม
            “0.01 น. เจ้าของสมุดบันทึกเล่มนี้จะไม่มีวันได้ปากกาคืนไปตลอดกาล”
            “ไหนบอกปีนี้จะเลิกเป็นขโมยไงฟะ!




คาเมะคุง

4 ความคิดเห็น:

  1. ตอนแรกที่อ่านนึกว่าเป็น Death Note 5555
    ที่แท้เป็นสมุดของพระเจ้าใน Wanted นี่เอง

    การ์ตูนนี่ทำให้ได้แรงบันดาลใจเยอะนะครับ :)

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ31 ธันวาคม 2554 เวลา 08:27

    อ่านจบสิ่งแรกที่อยากทำ ปิดคอมฯแล้วเดินออกจากบ้านไปร้านสะดวกซื้อ
    ซื้อโกโก้ครั้นช์มากิน 5555+

    เห็นด้วยตรงบอกว่าคนส่วนมากมักคิดถึงอนาคตมากกว่าเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีต :D


    รู้สึกดีที่ได้อ่านเรื่องดีดีในวันสุดท้ายของปี
    รออ่านเรื่องปีหน้าอยู่นะ

    สู้ต่อไปคาเมะคุง ^^V


    BDOUBLEOK

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ6 มกราคม 2555 เวลา 08:46

    เขียนดีนะเนี้ยยย

    ตอบลบ