-->
ผู้อ่านคือลมหายใจของนักเขียน

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

ขี้อาย

            จำได้ว่าตอนเด็กๆ มีขนบอยู่อันหนึ่งที่เกี่ยวกับความเป็นสุภาพบุรุษที่กรอกหูผมอยู่เรื่อยๆ จนติดมาถึงปัจจุบัน
            มันคือวัฒนธรรมบนรถโดยสารประจำทาง ที่ผู้ชายมักจะเสียสละที่นั่งให้กับบุคคลที่แข็งแรงน้อยกว่า เช่นเด็ก สตรี คนชรา คนพิการ ฯลฯ
            ทำให้ตอนเด็กๆ วัฒนธรรมนี้ฝังเข้าไปในเส้นเลือด เวลาขึ้นรถโดยสารประเภทนี้ก็มักจะคาดหวังว่าบุคคลที่บั้นท้ายสัมผัสกับที่นั่งตลอดการเดินทางนั้นไม่ควรจะเป็นชายอกสามศอก ยกเว้นกรณีที่ที่นั่งมีเหลือเฟือ ไม่มีเด็กหรือสตรีมีครรภ์ต้องยืนหิ้วโหนให้ลำบาก
            แต่พอเติบโตมาเรื่อยๆ ก็เรียนรู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้นเลย ก็อาจจะเป็นไปได้ที่สมัยนี้ผู้คนมีความเห็นอกเห็นใจต่อสังคมน้อยลง คิดว่าไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่จะต้องแบกรับความเมื่อยล้าแทนคนอื่นที่ไม่เคยรู้จักมักจี่
            ความ “แมน” บนรถเมล์จึงไม่ค่อยมีให้เห็นกันนัก
            แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า สาเหตุที่ทำให้ผู้ชายอกสามศอกอย่างเราๆ ก้นหนักไม่ยอมลุกให้ใครนั่งนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องขี้เกียจยืน หรือกลัวเมื่อยเท่านั้น เพียงแต่ว่าผู้ชายสมัยนี้อาจจะ “ขี้อาย” ไปหน่อย
            ขี้อายอย่างไร ผมจะเล่าให้ฟัง นี่เป็นประสบการณ์ตรง
            วันหนึ่งบนรถไฟฟ้า BTS ผมซึ่งเดินทางจากสถานีต้นสาย ที่นั่งมีเหลือเฟือ ผมจึงนั่งลงตรงเก้าอี้ริมสุดติดประตู
            รถไฟฟ้าวิ่งไปเรื่อยๆ ผ่านแต่ละสถานี คนก็เริ่มมากขึ้น ที่นั่งเต็มและหลายคนต้องยืนเกาะราว ผมยังไม่รู้สึกสะกิดใจแต่อย่างใด เพราะวัฒนธรรมความแมนนั้นจางไปจากสายเลือดมากแล้ว
            จนอาม่าคนหนึ่งเดินเข้ามา แกยืนถือสัมภาระเล็กน้อย มือโหนราวอยู่หน้าเก้าอี้ที่ผมนั่ง
            เกิดเป็นความรู้สึกที่ว่า ทนนั่งดูเฉยๆ ไม่ได้ แม้แกจะดูแข็งแรง ยืนจนไปถึงสุดสายได้แบบชิลๆ แต่การที่คนหนุ่มอย่างเรานั่งสบายขณะที่ผู้หญิงอายุมากคนหนึ่งต้องมายืนเมื่อยอยู่ต่อหน้าต่อตา มันออกจะน่าละอายใจอยู่
            ผมจึงตัดสินใจวัน “แมน” โชว์ ลุกขึ้นแล้วสะกิดอาม่าให้นั่งแทนผม คนมากมายก็จ้องมองมาที่ความเคลื่อนไหวของผม นี่มันสถานการณ์สร้างวีรบุรุษชัดๆ
            “เดี๋ยวก็ลงแล้วล่ะค่ะ ไม่เป็นไร ขอบคุณมากค่ะ”
            ใบหน้าของผมเริ่มมีรอยร้าว แค่ร้าวๆ ยังไม่ถึงกับแตก แต่นั่นก็ทำให้ผมก้มหน้าหงอยลงไปนั่งจุมปุ๊กที่เดิม
            มันแปลกมากครับ ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เป็นการทำความดีด้วยซ้ำ แต่ผมกลับอาย อายอย่างบอกไม่ถูก อายต่อความคิดของคนอื่นว่าเขาจะคิดว่าอะไร
            “ว้ายหน้าแตกเลย”
            “ฮ่าๆ โง่จัง”
            “เสร่อจริงๆ”
            ฯลฯ
            ผมจึงสำนึกได้ว่า บางทีคนเราเลือกที่จะอยู่เฉยๆ ไม่ช่วยเหลือ ไม่เสียสละ ไม่ทำความดี เพียงเพราะว่าอายที่ต้องทำอะไรไม่เหมือนคนอื่น กลัวสายตาของคนรอบข้างที่จ้องมองมา กลัวกับสิ่งที่คนอื่นคิดต่อตัวเราเอง
            ทั้งๆ ที่เรื่องที่ทำไม่ใช่เรื่องผิด และไม่เห็นน่าอายตรงไหน
            ทว่า เรื่องของผมก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การหยิบยื่นมิตรไมตรีให้คนแปลกหน้านั้นบางทีก็น่ากลัว เพราะต่างคนต่างก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร ไว้ใจกันได้มากน้อยแค่ไหน คงเพราะเหตุนี้กระมัง สังคมของเราจึงดูเป็นสังคมของคนแปลกหน้าไปสักหน่อย
            หากทุกคนลดอคติตรงนี้ไปได้ กล้าที่จะเปิดใจ หยิบยื่นความรู้สึกดีๆ หรือแม้เพียงรอยยิ้ม ให้แก่คนที่ไม่รู้จักเพิ่มขึ้นบ้าง สังคมที่สวยงามคงจะไม่ใช่แค่ในความฝันแน่นอน
            เพราะอย่างน้อย พอผมเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งฟัง เธอบอกว่าเธอไม่คิดว่าผมเป็นตัวตลก แต่กลับกัน เธอชื่นชมในความตั้งใจของผมแม้ว่าอาม่าจะไม่รับที่นั่งของผมก็ตาม และผมก็เชื่อว่าไม่ใช่แค่เธอที่คิดเช่นนี้
            ได้ฟังแบบนี้ก็ค่อยชื่นใจ มีกำลังใจจะทำความดีมากขึ้น  แต่คราวนี้ผมอาจจะระมัดระวังตัวมากกว่าเดิมสักหน่อย เพราะการหน้าแตกกลางรถไฟฟ้านั้นยากจะทำใจให้หายเขินอายได้โดยเร็ว
            หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ผมก็ได้ขึ้นรถไฟฟ้าจากสถานีต้นสายอีกครั้ง นั่งที่เดิม คราวนี้พิเศษหน่อย มีอาหมวยหน้าใสนั่งข้างๆ ผมยิ้มกริ่มมาตลอดทาง
            แล้วก็เจอเหตุการณ์คล้ายๆ วันนั้น แต่คราวนี้ไม่ใช่อาม่า อาจจะเป็น อาซิ้มแทน เพราะแกดูสาวกว่า แต่ก็มีเค้าของความชราสูงพอสมควร
            ผมคิดไปว่า อาซิ้มแกคงยืนไหวแล่ะน่า และเดี๋ยวอีกไม่กี่สถานีผมก็จะลงแล้ว ไว้ค่อยให้แกนั่งตอนนั้นแล้วกัน รีบลุกไปเดี๋ยวเกิดแกจะลงสถานีหน้าขึ้นมา ผมได้หน้าแตกต่อหน้าอาหมวยข้างๆ นี่แน่
            แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

            “นั่งที่หนูก็ได้ค่ะ”
            “ขอบใจมากจ้ะ”
            . . .
            ครั้งนี้ผมหน้าไม่ร้าว และไม่หน้าแตก
            เพราะผม “ขายหน้า” ไปแล้วเรียบร้อย

6 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ6 มกราคม 2555 เวลา 08:28

    ดังนั้น...ทำความดีไม่ต้องอาย ^^

    ตอบลบ
  2. เรื่องนี้หักมุมแบบไม่เหมือนทุกที
    เรื่องนี้จึ้กมากครับ จึ้ก จึ้ก จึ้ก เลย

    จริงๆ คนที่น่าจะอาย น่าจะเป็นคนที่ไม่เคยคิดจะลุกให้คนแก่นั่งมากกว่านะครับ ถ้าลุกแล้วเค้าไม่นั่ง ผมว่าคุณคาเมะคุงไม่เห็นต้องอายเลย

    ดีใจเถอะครับที่เรายังได้ลุก

    ตอบลบ
  3. ผมก็พยายามคิดแบบนั้นแล้วครับ แต่ทำไม้ทำไม อายจัง 55

    ตอบลบ
  4. ดังนั้น ความดีทำได้เลยไม่ต้องรอ"เดี๋ยว"สินะ :P

    ตอบลบ
  5. อังที่จิง อั๊วว่าลุกๆ นั่งๆ มังเมื่อยกระดูก.. จะซี้แหง๋แก๋
    อั๊วเหงว่ายืงแปปเีลียว เหลียวก็ลงเลี่ยว

    อั๊วปาทับใจลื้อมากนะอาตี๋ ลื่ออย่าคิดมาก
    ทำความลี ทำต่อปาย

    จาก อาม่า

    ตอบลบ
  6. เฮียแมนมากครับ (ตอนแรกนะ) 555
    ...เวลาผู้หญิงเห็นผู้หญิงขึ้นรถมา ผมจะหลับ !!!

    ตอบลบ