-->
ผู้อ่านคือลมหายใจของนักเขียน

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

เงินทอน


            ท่ามกลางเสียงเงียบในห้องหับเล็กแคบ
            “ขอตัวไปกินข้าวก่อนนะครับ”
            ชายร่างท้วมใหญ่ ผมหยักศกยาวประบ่า สีหน้าเรียบเฉย แว่นตาบดบังหน้าต่างของหัวใจเอาไว้ไม่ให้ใครเดาความรู้สึกได้ง่ายๆ เขาไม่เอ่ยถ้อยคำใดๆ เพียงพยักหน้าเป็นสัญญาณอนุญาต
            หลังจากนั่งหลังแข็งอยู่ 4 ชั่วโมง ท้องไส้ของผมเริ่มครวญครางให้รู้ว่าถึงเวลาอาหารกลางวัน
            แดดยามบ่ายอ่อนๆ ส่องแสงเจิดจ้าพร้อมไอร้อนระอุ ผมเดินออกจากออฟฟิศ ทำตาหยีสู้แสง ของเหลวใสๆ แต่เข้มข้นซึมผ่านผิวหนังออกมาทีละน้อย ลามไปเป็นความเปียกชุ่ม ผมสอดสายตามองหาร้านที่ถูกใจ
            ล้วงกระเป๋าสตางค์ออกจากกางเกงยีนส์ที่ใส่ซ้ำกันมา 3 วัน สำรวจทุนอาหารกลางวันครั้งนี้ สิ่งที่มองเห็นทำให้ต้องสบถคำหยาบ
            “เชี่ย”
            ไม่มีเงินในกระเป๋าแม้แต่บาทเดียว ผมคงจะลืมไปว่าใช้เงินหมดแล้ว ลืมแบมือขอเงินพ่อเงินแม่มาเติม เงินเดือนไม่มี เป็นแค่เด็กฝึกงานให้เขาใช้ฟรีๆ เท่านั้น
            ความร้อนแทรกซึมเข้าภายในจิตใจ ผมแทรกมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอีกข้าง-กางเกงที่ใส่ซ้ำมาแล้ว 3 วันโดยไม่ผ่านสารชะล้างใดๆ ฟังดูสกปรก แต่เชื่อว่าหลายคนทำเช่นนี้
            เดชะบุญ ความสกปรกช่วยผมไว้ แบงก์ 20 สองใบยับยู่ยี่รวมเป็นเนื้อเดียวกันนอนขดอยู่ในกระเป๋ากางเกง ความร้อนในจิตใจเริ่มคลายลง ผมหยิบมันขึ้นมา คลี่ออกช้าๆ นึกย้อนถึงที่มาของมัน
            ภาพเหตุการณ์เมื่อวานฉายขึ้นในหัว
            มันคือเงินทอนค่าอาหารเย็นที่บอสฝากผมไปซื้อ เขาใจป้ำ เลี้ยงอาหารลูกน้องทุกคนบ่อยๆ หลายครั้งที่ผมรับหน้าที่นี้ เงินที่ใช้สำหรับจับจ่ายมักจะเหลือเฟือเสมอ ที่น่าสนใจคือ บอสไม่เคยทวงเงินทอนแม้เพียงครั้งเดียว แต่เด็กฝึกงานผู้ซื่อสัตย์ย่อมไม่ประพฤติตัวคดโกง คอร์รัปชันเงินทอนเป็นแน่ เพียงแต่เมื่อวาน เขาแค่ลืมคืนเท่านั้น
            นับเป็นโชคดีที่การหลงลืมครั้งนั้น ช่วยบรรเทาความหิวในครั้งนี้ เงิน 40 บาทผมขอเป็นค่าแรงเล็กๆ น้อยๆ แล้วกัน ระดับบอสคงไม่ซีเรียสอยู่แล้วใช่ไหม?
            ความวัวกำลังจะหาย แต่ความควายก็เข้ามาแทรกเสียก่อน เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หน้าจอปรากฏตัวอักษร “บอส บ.
            “ผมฝากซื้ออาหารหน่อย เอาผัดซีอิ๊ว ไม่ใส่ไข่นะ”
            น้ำเสียงเย็นเยือกทำให้ผมไม่สามารถออกเสียงคำอื่นได้ นอกจาก “ครับ”
            ในยุคข้าวยากหมากแพง เงิน 40 บาทย่อมไม่พอสำหรับอาหาร 2 ที่เป็นแน่ ผมพยายามแก้โจทย์คณิตศาสตร์นี้ มีเงิน 40 บาท ต้องซื้อผัดซีอิ๊วหนึ่งกล่อง และยาไส้ตัวเองด้วย มันจะเป็นไปได้ยังไง
            หากแก้โจทย์ไม่ได้ ผมจำต้องเปลี่ยนโจทย์ให้เหลือตัวแปรเดียวคืออาหารของบอส คงไม่มีหน้าไปบอกบอสว่า เงินไม่พอซื้อผัดซีอิ๊วเพราะซื้อข้าวกินไปหมดแล้ว ผมคงทนรอมื้อเย็นที่บ้านได้ จะเรียกว่าประจบก็คงไม่ผิดนัก เพราะเท่าที่รู้มา สิ่งมีชีวิตที่ยอมก้มหน้าก้มตา อดทน ทำสิ่งต่างๆ เพื่อใครคนหนึ่งที่ไม่ได้รู้สึกดีด้วยเป็นพิเศษ แต่เพียงเพราะต้องการผลตอบแทนบางอย่าง ก็มีแต่ “คน” เท่านั้น
            ผมเดินกรำแดดต่อไปเพื่อหาร้าน พลังกายพลังใจถูกแผดเผาจนเกือบสิ้น เป็นระยะทำใจที่ยากจะทนทาน นอกจากหิวแล้วยังต้องยอมรับให้ได้ว่า “มื้อนี้กูอด”
            ระหว่างที่สองขาค่อยๆ ก้าวไป สายตาเริ่มพร่ามัวเพราะแสงจ้า ผมหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาอีกครั้ง ค้นทุกซอกมุม เผื่อจะบังเอิญมีเงินซุกซ่อนอยู่ บัตรนักศึกษาเสียบไว้ในช่องพลาสติกใส ผมจ้องตากับรูปถ่ายในบัตรของตัวเอง เหมือนเขาอยากบอกอะไรบางอย่าง
            บัตรนักศึกษาของผมเป็นบัตร ATM ควบด้วย แต่เนื่องจากไม่ได้ใช้มานาน เงินในบัญชีก็ไม่เพิ่มขึ้นนับแต่ปิดเทอมครั้งล่าสุด ครั้งสุดท้ายที่ใช้มันผมถอนเงินที่เหลือออกมาแทบหมดบัญชี วิกฤติครั้งนี้จึงไม่อยากพึ่งพาอะไรมันมากนัก
            แต่ลองดูก็ไม่เสียหาย จุดหมายของผมเปลี่ยนจากร้านอาหารเป็นตู้ ATM

            XXXX >>> ดูยอดคงเหลือ >>> ออมทรัพย์

            169.42 บาท
            “กูรอดแล้ว”
            100 บาทคือจำนวนมากที่สุดที่ตู้ให้ผมได้ แต่มันก็เพียงพอแล้วสำหรับโจทย์นี้
            อุณหภูมิในร่างกายของผมลดลงอย่างประหลาด บางทีจิตใจก็มีผลมากกว่าความรู้สึกทางกายภาพ แสงแดดเจิดจ้าราวแสงเลเซอร์กลับให้ความรู้สึกสดใส อบอุ่น มากกว่าการทำลายล้าง
            ผมนั่งกินข้าวอย่างสำราญใจ คำสุดท้ายเข้าปาก ดื่มน้ำตามอึกใหญ่ แล้วลุกไปเคลียร์ค่าอาหาร
            “สองอย่าง 60 บาท”
            ผมถือถุงผัดซีอิ๊วไร้ไข่กลับออฟฟิศ รู้สึกภูมิใจเล็กๆ แสงอาทิตย์ตอนนี้ไม่แรงเท่าตอนออกจากออฟฟิศ

            “ทำไมนานนักล่ะ”
            “หาตู้ ATM กดเงินอยู่ครับ”
            คำตอบของผมน่าจะสะกิดความรู้สึกบางอย่างของบอสได้ ถึงไม่ใส่ไข่แต่ไม่ใช่ของฟรี
            ไม่มีเสียงตอบกลับ เขาหยิบกล่องโฟมในถุงพลาสติกออก เปิด แกะพริกป่นเททั้งซอง แกะถุงน้ำส้มสายชูเทลงนิดหน่อย ใช้ช้อนพลาสติกตักพริกดองในน้ำส้มออกทั้งหมด ราดลงบนอาหาร ซองน้ำตาลถูกเมิน
            นอกจากไม่ใส่ไข่แล้ว ยังไม่ใส่น้ำตาลด้วย แต่ไม่ใช่เรื่องน่าฉงน เมื่อร่างท้วมใหญ่ของเขาได้ตอบคำถามสุขภาพเหล่านั้นแทนเขาแล้ว
            เขานั่งกินอย่างสุขุม สีหน้าเรียบเฉย ไม่สะท้านต่อความเผ็ดร้อน ไม่นานผัดซีอิ๊วก็พร่องจนหมดกล่อง ถุงพลาสติก กล่องโฟม และซองเครื่องปรุงต่างๆ บนโต๊ะถูกเคลียร์จนสะอาด แต่มีเรื่องหนึ่งที่ยังไม่เคลียร์
            ปกติบอสไม่เคยจุกจิกเรื่องเงิน ค่าอาหารครั้งนี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจหยิบแบงก์ร้อยให้ผมแล้วบอกว่า “ไม่ต้องทอน”
            แต่เขากลับเปิดโน้ตบุ๊กทำงานต่อ มันไม่ควรเป็นเช่นนี้ คนรอบคอบอย่างเขาไม่น่าจะลืมอะไรได้ง่ายๆ ผมสังเกตการทำงานแต่ละครั้ง เขาวางแผนไว้อย่างรัดกุม ตั้งแต่ต้นจนจบ จะบอกว่าเขาคำนวณทุกอย่างไว้แล้วก็คงไม่เกินเลยนัก
            แต่เข้าใจได้ คนเราบางครั้งหลงลืมเป็นธรรมดา ยิ่งไม่ใช่เรื่องสำคัญ ก็ยากที่จะเข้าไปก่อตัวในเซลล์สมอง แม้ 30 บาทจะจิ๊บจ๊อยสำหรับบอส แต่สำหรับผมมันคือการต่อชีวิตไปอีกมื้อ แต่เอาเถอะ บอสเลี้ยงผมมาหลายครั้ง คราวนี้ผมขอปิดทองหลังพระ เลี้ยงบอสแบบไม่ให้รู้ตัวบ้างแล้วกัน
            “เออ... ค่าผัดซีอิ๊วเท่าไรนะ”
            นั่นไง ผมบอกแล้ว เขาไม่พลาดอะไรง่ายๆ หรอก
            “30 บาทครับ”
            “งั้นขอเงินทอน 10 บาทให้ผมด้วย”
          ...
            คำนวณไว้แล้วสินะ

5 ความคิดเห็น:

  1. "ผมบอกแล้วเขาไม่พลาดอะไรง่ายๆ หรอก...
    ...
    งั้นขอเงินทอน 10 บาทให้ผมด้วย"

    บอสไม่พลาดง่ายๆ จริงๆ ด้วยครับ 55555555

    ตอบลบ
  2. เลขไม่ขึ้นวะ 555 ฮาดี

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ24 มกราคม 2555 เวลา 09:10

    โธ่ แบบนี้ก็อดเลี้ยงข้าวบอสเลยน่ะสิ
    ไม่เป็นไรรอบหน้าเอาใหม่ ถ้าจ่ายเกินกว่าที่ลืมคืนอาจจะได้เลี้ยงบอสนะ
    ^^

    BDOUBLEOK

    ตอบลบ
  4. บอสเป๊ะจริง อะไรจริง

    ตอบลบ
  5. เรื่องจริงหรือเปล่าพี่ ?????

    ตอบลบ