-->
ผู้อ่านคือลมหายใจของนักเขียน

วันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ซอมบี้ที่ปรากฏตัวในวันศุกร์


            คนเมืองรักวันศุกร์ แต่ไม่ได้หมายถึงทั้งวันของวันศุกร์ พวกเขาแค่รู้สึกปรีดากับเสียงของเวลาใกล้เลิกงานในเย็นวันนั้น บรรยากาศช่วงเช้านั้นหนืดเนือย และง่วงซึม ร่างไร้วิญญาณหลายร่างลากตัวเดินทางไปออฟฟิศและเปลี่ยนเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตชีวาอีกครั้งเมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ก่อนจะสลายไปและโผล่ขึ้นจากเตียงด้วยท่าทางซังกะตายเหมือนซอมบี้ผุดจากหลุมศพในเช้าวันจันทร์
            ผมยกแขนขึ้นทั้งซ้ายและขวาทีละข้าง ตรวจตราเสื้อผ้าอาภรณ์สำหรับวันนี้ พลางนึกหงุดหงิดเสื้อเชิร์ตสีน้ำเงินที่ค่อนข้างหลวม ไม่เข้ารูป ปกติผมจะไม่หยิบมันออกมาจากไม้แขวนหากไม่จำเป็น เพียงแต่มันเป็นเสื้อแบบสุภาพเพียงตัวเดียวที่มีซึ่งใช้ใส่เข้าการประชุมได้อย่างไม่น่าเกลียดนัก ผมรู้สึกมึนเวียนที่เบื้องหน้ากะโหลก  ความง่วงในช่วงเช้าเป็นโรคกำเริบมาตลอดตั้งแต่ชีวิตเริ่มมีภาระให้ตื่นสายไม่ได้ นั่นหมายถึงตั้งแต่เข้าโรงเรียนประถม หรืออาจจะอนุบาลก็ได้
            รถไฟฟ้าแล่นตามรางมาอย่างกระฉับกระเฉง ตรงข้ามกับสภาพผู้โดยสารที่ยืนรอ มันไม่เคยขี้เกียจไม่ว่าวันนั้นจะเป็นวันอะไร ก่อนบานประตูเบื้องหน้าจะเปิด ผมพยายามส่องดูทรงผมและใบหน้ากับกระจกบนบานประตูที่สะท้อนเพียงเงาสลัวๆ เพื่อเพิ่มความไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นทรงผมชี้ตั้งไม่เป็นทิศทาง
            โชคดี... ไม่สิ ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ผู้โดยสารในช่วงนี้ไม่เยอะถึงขนาดเบียดเสียด เพราะกว่าที่ผมจะออกจากบ้านก็เลยแปดโมงครึ่งไปแล้ว พ้นช่วงเวลาเร่งด่วนไปพอควร หากเป็นช่วงเจ็ดถึงแปดโมงนั่นหมายถึงผมต้องพยายามแทรกตัว สูดดมกลิ่นน้ำปรุงน้ำหอมของซอมบี้ตัวอื่นๆ เข้าไปในตู้ขบวนรถไฟฟ้า เพื่อให้มันดูล้นปริราวกับจะระเบิดออก เป็นความน่าขยะแขยงของชีวิตในเมืองที่ทุกคนเต็มใจ
            ที่ว่างยังเหลือเฟือ ผมเลือกนั่งที่ชิดริมเพื่อเอียงหัวพิงกระจกพลาสติกใสแล้วงีบไประหว่างทาง แต่เครื่องปรับอากาศในรถไฟฟ้าก็หนาวเป็นพิเศษ และจงใจเป่าลงมาตรงกระหม่อมพอดีราวกับผมได้สั่งเจ้าหน้าที่เอาไว้ มันหนาวยะเยือกจนหลับไม่ลง แต่อย่างน้อยการหลับตาเฉยๆ ก็น่าจะช่วยให้สดชื่นขึ้นได้บ้าง
            รถแล่นผ่านไปทีละสถานีตั้งแต่ต้นทาง ผมหรี่ตาขึ้นมาบ้างบางครั้ง วิวนอกรถไฟฟ้าผ่านฉิวไปอย่างรวดเร็ว ผู้โดยสารเพิ่มจำนวนมากขึ้น ที่นั่งเต็ม ที่เหลือเกาะจับราว ห่วง เสา ระหว่างเดินทาง ตามที่โอเปอร์เรเตอร์มักจะประกาศเตือนอย่างอัตโนมัติ หญิงวัยออฟฟิศยืนอยู่เบื้องหน้าสองสามคน ผมรู้สึกถึงความผิดในฐานะเพศชายขึ้นมาอย่างประหลาด แต่ด้วยความงัวเงียที่ไม่ส่งเสริมให้ทำตัวเป็นคนดี ผมทนนั่งตากแอร์เย็นเยือกต่อ ถัดเลยไปสองถึงสามเมตร หญิงชราก้าวเข้ามา ทอมบอยคนหนึ่งลุกให้นั่งอย่างชาตรี ผมทำปฏิกิริยาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วหลับตาลงไปด้วยความหนาวและหดหู่

            แดดหน้าหนาวที่นอกจากไม่ช่วยให้อุณหภูมิควรจะเป็นอย่างหน้าหนาวแล้ว ยังช่วยให้ผมแสบตา และผุดเหงื่อขึ้นมาทั่วร่างราวกับชาวสวนจนๆ ในชุดมอซอที่ทำงานกร้านแดด ต่างตรงที่ผมไม่ได้อึดและอดทนอย่างชวนสวนจริงๆ ผมลากสังขารที่ร่วงโรยเพราะถูกแดดเผาไปยังพาหนะเดิม เวลาเที่ยงครึ่ง กับธุระสำคัญที่อยู่ห่างออกไป 7 สถานีทำให้ผมต้องเข้าเซเว่นอีเลเว่นแทนการนั่งรออาหารตามสั่ง ผมเก็บเสบียงใส่กระเป๋าสะพายข้าง ความร้อนเหนียวเหนอะภายในกางเกงขายาวทรงรัดที่จำเป็นต้องใส่เพื่อให้ดูอินเทรนด์กำลังเล่นงานความรู้สึก เหงื่อและความมันผุดเต็มใบหน้า ทรงผมที่อุตส่าห์เข้าห้องน้ำไปจัดแต่งให้ดูดีขึ้น ตอนนี้ก็กลับมายุ่งเหยิงไม่เป็นทรงอีก ผมลูบมือที่เหนือริมฝีปากสัมผัสกับตอหนวดที่ยังไม่ยาว และไม่สั้นพลางรู้สึกรำคาญเสียจนอยากซื้อที่โกนหนวดมาโกนทันที
            แอร์ในรถไฟฟ้าช่วยผ่อนคลายความร้อนทั้งอารมณ์และร่างกายได้บ้าง มันเป็นช่วงพักกลางวันที่พนักงานบริษัทควรจะทานอาหารที่ร้านใกล้ๆ ออฟฟิศ แต่พวกเขากลับมารวมตัวกันอยู่ในพาหนะยืดยาวคล้ายงูนี้ “อะไรหนักหนา” ผมคิด และมองไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยืนเบียดเกาะกลุ่ม พูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน อย่างหงุดหงิด เด็กน้อยตาน้ำข้าวคนหนึ่งร้องไห้ออกมาโดยไม่มีสาเหตุ หรืออาจจะมี แต่ผมก็ไม่ใคร่อยากรู้ หากแค่อยากอ้อนวอนให้ช่วยหยุด ก่อนที่แก้วหูผมจะสั่นจนสติแตก
            ถึงสถานีที่หมายในเวลาเกือบบ่ายโมงตรง อาคารนั้นอยู่ห่างไปราวๆ 10 – 15 นาทีหากเดิน ผมเลือกใช้บริการวินมอเตอร์ไซค์ และเหมือนจะคิดถูก หนุ่มวินพาผมมาถึงที่นั่นในเวลาไม่เกิน 2 นาที เป็นระยะทางที่มีค่าใช้จ่ายไม่ควรเกิน 7 บาท จากประสบการณ์ที่เคยผ่านมา
            “20 บาท”
            เขาพูดอย่างหน้าตาเฉยพร้อมชูสองนิ้วเพื่อย้ำเตือนให้ผมแน่ใจถึงราคา “บัดซบ” ผมคิด แต่ไม่ได้พูด และควักแบงก์ 20 ยัดใส่มือเขาไปอย่างจำยอม
            เสร็จธุระแล้ว เป็นเวลาประมาณบ่ายสองโมงครึ่ง ผมดูเวลาจากโทรศัพท์มือถือรุ่นที่นอกจากโทรออกและส่งข้อความได้อย่างไม่ติดขัดแล้วก็ทำประโยชน์อื่นๆ ไม่ได้อีก ผมไม่เคยใส่นาฬิกาข้อมือ แม้จะมีคนซื้อให้อยู่หลายครั้งก็ตาม ผมอาจจะรำคาญ หรือไม่ก็กลัวใครตัดข้อมือไปเพราะอยากได้นาฬิกา
            ผมจ้ำออกจากอาคารอย่างเร็วที่สุดโดยไม่ต้องวิ่ง หยิบเสบียงที่ได้จากเซเว่นอีเลเว่น แกะและยัดลวกๆ เข้าไปในปาก เดินผ่านวินมอเตอร์ไซค์แห่งหนึ่งโดยไม่คิดแม้แต่จะชำเลืองมอง แดดยามบ่ายนั้นสูสีกับเวลาตอนเที่ยงตรง เหมือนหอกนับพันที่ดิ่งมาแทงร่างผมจนพรุน เหงื่อกาฬที่ซึมออกมาก็เป็นราวเลือดที่ซึมจากแผลฉกรรจ์นัก
            ประมาณ 8 นาทีในการเดินเท้าถึงสถานีรถไฟฟ้า เป็นสถิติที่ค่อนข้างดี แต่นั่นไม่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเท่าไรนัก เมื่อตามหลักการแล้วผมควรจะมีเวลาพักหนึ่งชั่วโมง และเข้าออฟฟิศภายในบ่ายโมงครึ่ง ผมนึกถึงคำพูดของชาติ กอบจิตติ นักเขียนซีไรท์ จากหนังสือเล่มหนึ่งว่า “โลกนี้มีทั้งเรื่องที่เราควบคุมได้ และควบคุมไม่ได้” รวมถึงคำตบท้ายแสนกินใจ  “ช่างแม่งเหอะ แดกเหล้าต่อดีกว่า”
            ผมจึง “ช่างแม่ง” แต่ก็ไม่ได้หาสุรามาเสพต่อแต่อย่างไร
            ผมลากตัวเองในเสื้อเชิร์ตเชยๆ ที่เริ่มชุ่มเหงื่อ ก้าวขึ้นบันไดอย่างทรมาน ความเมื่อยล้าสาหัสเข้าสุมรุม ถึงชานชาลาผมลดความเร็วในการเดินลง หอบเล็กน้อย และใช้ปากดูดลมหายใจเข้ายาวๆ พลางเหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง
            รู้ตัวอีกครั้งเมื่อมายืนข้างเธอ สาวน้อยผิวขาวใส และเรียบเนียนชนิดที่ผมไม่อาจสังเกตเห็นริ้วรอยใดๆ หากไม่จ้องหน้าเข้าไปใกล้ ผมของเธอค่อนข้างสั้นถูกมัดรวมอยู่ที่ท้ายทอย ทำให้มันชี้ตั้งออกมาแทนที่จะตกลงเป็นหางม้า แว่นกันแดดนั่นสวยและทันสมัย เข้ากับใบหน้าขาวนวลได้ดี เธอยังเด็ก แต่ก็โตพอที่จะมีความรักจริงจังกับใครสักคน
            เธอไม่แยแส หรือคิดจะรู้สึกตัวว่าถูกจ้องมอง ยังคงเหม่อไปเบื้องหน้าผ่านแว่นกันแดดเลนส์ดำ ฟังเพลงจากสายหูฟังที่ต่อจากเครื่องเล่นเอ็มพีสาม ผมแปลกใจที่มันไม่ใช่อุปกรณ์ซึ่งมีตราสัญลักษณ์เป็นผลไม้แหว่งๆ แบบสมัยนิยม
            ผมพยายามมองเข้าไปในแว่นกันแดดเผื่อจะเห็นได้รางๆ ว่าดวงตาของเธอเป็นแบบไหน กลมโต หมวยเกี๊ยะ หรือโฉบเฉี่ยว แต่กลับเห็นสิ่งอื่น โหนกแก้มขวาใต้ดวงตาของเธอปรากฏรอยประหลาดสีม่วงปนเขียวจางๆ ราวกับว่าเธอขาวและผิวบางจนเห็นเส้นเลือดภายในได้ชัดกว่าคนอื่น มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ใบหน้าของเธอมีตำหนิ บางทีการที่เธอสวมแว่นกันแดดอาจเพื่อบดบังมัน ซึ่งเธอคิดว่าไม่ใช่สิ่งที่เหมาะจะอยู่บนใบหน้า หรือไม่ก็เป็นเพราะแดดวันนี้ร้อนเกินไปเท่านั้นเอง
            ผมแกล้งละสายตาจากเธอลงบ้างเมื่อรู้สึกตัวว่ามองเธอนานเกินไป แม้ไม่มีแนวโน้มสักนิดที่เธอจะหันมา ท่าทาง บุคลิก และรัศมีประกายนั้นชวนเสน่หาอย่างบอกไม่ถูก ผมพยายามเดาว่าเธอเป็นคนยังไง อายุเท่าไร กำลังจะไปไหน
            ผู้คนเริ่มหนาแน่นบริเวณชานชาลา เมื่อรถไฟฟ้ามาถึง ผมและเธอก้าวเข้าไปตามกระแสเชี่ยวของฝูงชน “บังเอิญ”  ที่ผมยืนอยู่ข้างหลังเธอ และความแออัดของผู้โดยสารทำให้ระยะห่างของเราเหลือเพียงน้อยนิด เธอสูงราวๆ คางของผม เส้นผมชี้ตั้งจากการรวบมัดนั้นแกว่งไปมาและบางครั้งปลิวเข้าที่ใบหน้า ผมปล่อยให้มันรำคาญโดยไม่ปริปากบ่น เธอหยิบอุปกรณ์เล่นเอ็มพีสามสีแดงเครื่องจิ๋วขึ้นมาแล้วใช้นิ้วสัมผัสจอเพื่อเปลี่ยนเพลง ผมพบว่าเป็นรายชื่อเพลงภาษาอังกฤษที่ผมไม่คุ้นเคย
            จู่ๆ ผมก็รู้สึกสมเพชอะไรบางอย่างขึ้นมา เมื่อแลดูสภาพซอมซ่อของตัวเอง ผมไม่เคยมีเซ็นส์เรื่องการแต่งตัว แม้จะใส่เสื้อเชิร์ตติดกระดุมอย่างเรียบร้อยและกางเกงขาเดฟกับรองเท้าผ้าใบมีราคา ก็ยังไม่ทำให้ผมคิดว่ามันดูดี ดูเธอสิ! เสื้อยืดสีเทาและกางเกงผ้ายีนขาสั้นที่ทำให้เห็นเรียวขาขาวเนียน แค่นั้นเธอก็ดูดีมากพอที่จะทำให้ผู้ชายหันมอง ผมจินตนาการใบหน้าโทรมเหงื่อของผมตอนนี้ มันคงไม่สร้างความประทับใจแรกพบให้ได้มากเท่าไร ผมอยากกลับบ้านไปอาบน้ำ โกนหนวด แต่งผม สวมเสื้อยืดเท่ๆ และออกมาเริ่มต้นใหม่
            ความเหนียวเหนอะตามตัวทำให้หมดความมั่นใจ ผมลองพิสูจน์กลิ่นตัวเองว่าน่าประทับใจแค่ไหน แต่ผมไม่เคยได้กลิ่นตัวเอง และไม่เคยมีคนบอกว่าผมมีกลิ่นตัวที่ชวนคิ้วขมวด อย่างน้อยมันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับวันนี้ ผมละจมูกจากใต้วงแขนตัวเอง ได้กลิ่นหอมจากอะไรบางอย่าง เส้นผมของเธอ หรืออาจจะต้นคอ...  ความใกล้นี้มันส่งผลรุนแรงถึงขนาดว่าผมสามารถขาดสติกัดต้นคอเธอได้ทันทีถ้าผมเป็นแดร็กคูล่า
            รถไฟฟ้าวิ่งไปตามหน้าที่ของมัน เธอยังจมดิ่งในโลกส่วนตัวกับบทเพลงต่างประเทศที่ผมไม่รู้จัก “ความเป็นไปได้ในการทำความรู้จักกับคนแปลกหน้าอย่างประทับใจ” นั่นคือหัวข้อวิจัยที่ผมกำลังดำเนินการอยู่ภายในสมอง แต่ไม่มีความคิดไหนที่เข้าท่าเอาเสียเลย
            ใกล้สถานีเป้าหมายมากขึ้นทุกที ยังไม่มีอะไรคืบหน้า นอกเสียจากความคิดฟุ้งซ่านของผมเอง หากเราลงสถานีเดียวกัน ผมจะมองเธอจากระยะที่เหมาะสมกว่านี้ บางทีความใกล้ที่มากเกินไปก็ไม่ทำให้เรามองเห็น หรือทำอะไรได้ชัดเจนนัก
            เธอลงก่อนผมหนึ่งสถานี ผมมองตามหลังจนเธอลับตาไป โดยไม่ได้สบตาแม้แต่ครั้งเดียว

            ภาพเบื้องหน้าคือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนรวมอัดกันอยู่ในรถไฟฟ้า ส่วนที่อยู่ด้านนอกก็พยายามยัดตัวเองเข้าไปประหนึ่งเอาเท้าเหยียบลงในถังขยะที่แน่นด้วยปฏิกูลเพื่อใส่สิ่งเหล่านั้นเข้าไปให้หมด จนเจ้าหน้าที่ต้องออกปากบอกให้รอขบวนถัดไป พวกเขาจึงยอม
            ถัดจากนั้นประมาณ 7-8 นาที ผมก็กลายเป็นหนึ่งในสิ่งปฏิกูลเหล่านั้นเมื่อสำนึกในความอยู่รอดทำงาน แต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรนักเพราะแรงดันจากด้านหลังช่วยส่งเสริมให้ผมเข้าไปได้โดยอัตโนมัติ ผมพยายามหาที่ยึดจับ เขย่งปลายเท้าหาอากาศด้านบน ประสาทสัมผัสเกือบทั้งหมดถูกบดขยี้ หากผมเป็นตัวละครในหนังซอมบี้สักเรื่อง ผมจะถอดสลักระเบิดแล้วถล่มผีดิบทั้งขบวนนี้ให้เละไปพร้อมกับตัวเองซะ
            ชายแก่ที่แทบไม่เหลือเส้นผมบนกระหม่อมแล้วเบียดตัวอยู่เบื้องหน้า ศีรษะของเขาและจมูกของผมอยู่ในระดับเดียวกันอย่างเหมาะเจาะ ผมอาจจะอาเจียนรดหัวเขาไปเพื่อเป็นการแก้แค้น แต่นั่นจะทำให้สถานการณ์ยุ่งยากมากขึ้นไปอีก ผมจึงทนรับกลิ่นอันขมขื่นและชวนคลื่นไส้ต่อไป ผมนึกถึงกลิ่นหอมเมื่อตอนกลางวัน หากนั่นคือสวรรค์ก็คงไม่ต้องถามอีกว่าสิ่งนี้คืออเวจีขุมไหน
            “จะถึงแล้วๆ”
            ใครบางคนโพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังรู้ว่าเขาดีใจแค่ไหนที่ถึงจุดหมาย และจะพ้นจากการถูกทรมานราวกับพวกยิวที่ถูกขนขึ้นรถไฟไปลงค่ายกักกันอันแสนเหี้ยมโหด
            ผมนั่งรถเมล์ต่อจนถึงบ้านในอีก 30 นาที ระหว่างทางผมสัปหงกอย่างเหนื่อยอ่อนจนกระเป๋ารถเมล์ต้องปลุกเมื่อสุดสาย ดีว่ามันคือป้ายที่ผมต้องลงพอดี
            เมื่อถึงบ้าน ผมถอดเสื้อเชิร์ตอับเหงื่อออก ใช้มันแทนผ้าเช็ดความสกปรกที่ชื้นแฉะตามร่างกาย หยิบพาดผ้าเช็ดตัวไว้บนบ่า เดินผ่านกระจกเงาหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ผมหยุดมองหน้าสิ่งมีชีวิตในกระจก เห็นผีดิบตัวหนึ่งซึ่งมีใบหน้าซูบโทรมเหงื่อ นัยน์ตาเลื่อนลอยและขอบตาคล้ำมืดราวหุบเหวลึก
            ผมส่องกระจกบานเดิมอีกครั้งเมื่ออาบน้ำเสร็จ ผีดิบตัวเดิมไม่ได้เปลี่ยนเป็นมนุษย์ หากแต่มันดูสะอาดสะอ้านมากขึ้น ผมทิ้งตัวลงบนที่นอนที่ดูอ่อนนุ่มกว่าทุกวัน ห่มผ้า และนึกถึงใบหน้าของเธอ แต่ดูเหมือนผมจะลืมไปแล้ว และในวันรุ่งขึ้นผมก็รู้ว่าเมื่อคืนหลับลึกจนไม่ได้ฝันถึงอะไรเลย ไม่ว่าจะกลิ่นของเธอ หรือกลิ่นหัวล้านของตาแก่นั่น แต่ผมก็ไม่ได้แยแสอะไรมากนัก คิดเพียงว่าจะใช้เวลากับวันหยุดที่มีให้คุ้มค่า แล้วค่อยลากตัวขึ้นจากหลุมศพเพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้าอีกครั้งในวันจันทร์
            ร่วมกับผีดิบตัวอื่นๆ

คาเมะคุง
28 ต.ค.55 คืนก่อนที่วันจันทร์จะมาถึง

วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สินค้าปลอดภัย


            ผมเคยรับงานพิเศษไปนั่งเฝ้าร้านขายหนังสือในอีเว็นท์ของสำนักพิมพ์ดังแห่งหนึ่ง จำนวนคนไม่มากมาย แต่ไม่ถึงเงียบเหงา หนังสือมากหน้าหลายปกรายเรียงเบื้องหน้า บางคนเดินผ่านไป บ้างชำเลืองมอง และหลายคนเข้ามาหยิบจับ สัมผัสกระดาษ จนถึงควักกระเป๋าซื้อ
            เคยมีประสบการณ์เฝ้าร้านขายของมาก่อนหน้าอยู่บ้าง แต่ความรู้สึก “หวงสินค้า” นั้นเปลี่ยนไปเมื่อมานั่งหลังแผงขายหนังสือ
            ระหว่างที่หน้าร้านกำลังเหงา ชายค่อนข้างสูงวัยค่อยๆ ย่างเข้ามา กวาดตาดูหน้าปก และหยิบเล่มที่เขาต้องใจขึ้นเปิดอ่านตั้งแต่หน้าแรก
            เป็นเวลาพอสมควรที่วรรณกรรมเล่มนั้นอยู่ในมือเขา หากนี่ไม่ใช่ร้านหนังสือ แต่เป็นร้านขายโทรศัพท์ หรือเครื่องปรับอากาศ การที่ลุงคนหนึ่งซึ่งไม่ได้แต่งกายเรี่ยมเร้เรไรยืนทดสอบสินค้าอยู่นานอย่างไม่วางมือ อาจสร้างความร้อนผ่าวขึ้นในใจเจ้าของกิจการได้
            แต่ผมกลับไม่รู้สึกแบบนั้น... ทำไม?
           
            มหกรรมหนังสือแห่งชาติ น่าจะอนุมานได้กลายๆ ว่าเป็นมหกรรมคนอ่านหนังสือแห่งชาติด้วย เพราะในที่แห่งนั้น ไม่ว่าจำนวนหนังสือ หรือจำนวนหนังศีรษะก็มีมากมายไม่แพ้กัน บางช่วงบางจังหวะ มวลชนล้นหลาม อัดแน่นจนต้องยอมลดความรังเกียจสัมผัสจากผู้อื่นลง แล้วเบียดเสียด แทรกสอดตัวไปตามทางเดิน มุดตัวไปยังหน้าร้านหนังสือที่ต้องการ
            เคยมีคนกล่าวว่าคนไทยไม่ใฝ่การอ่านหนังสือ ผมเห็นสภาพของงานนี้ทีไร ก็อยากยื่นมือขวาไปข้างหน้า แบยันออกแล้วบอกว่า “ไม่จริง”
            ทางเข้างาน ปรากฏป้ายเตือนให้ระวังมิจฉาชีพ เป็นการเตือนให้ระวังทรัพย์สินของตนเอง ที่เป็นผู้มาร่วมงาน
            แต่ไม่เคยเห็นการเตือนร้านหนังสือต่างๆ ว่าระวังสินค้าถูกขโมย
            ในทุกพื้นที่ แต่ละร้าน แต่ละบูธ ผู้คนล้อมรุมสินค้า บ้างหยิบจับ สัมผัสเนื้อกระดาษ บ้างเปิดอ่านเนื้อใน บ้างจดจ่อเข้าไปในตัวหนังสือแล้ว แต่เจ้าของร้าน หรืออาจจะเด็กรับจ้างเฝ้าร้าน ก็เพลิดเพลินกับการแนะนำสินค้า คิดเงิน หรือบ้างก็ยืนยิ้มให้กับลูกค้า ไม่ค่อยเห็นความระแวดระวัง หรือกลัวว่าสินค้าจะถูกขโมยไปเลย
            ในโลกทุนนิยม ทุกอย่างย่อมแลกเปลี่ยนได้ด้วยเงินตรา และทุกสิ่งที่มีคุณสมบัติเช่นนั้นย่อมมีค่า มีราคา เป็นกิเลสของคนบางกลุ่ม
            บางครั้งก็เป็นกิเลสจนทำให้คนผิดศีลข้อสอง
            แน่นอน หนังสือ วรรณกรรม มีคุณค่า และมีราคา มีค่าตอบแทนนักเขียน มีค่าดำเนินการผลิต บรรณาธิกร ขนส่ง ฯลฯ
            แต่แปลกที่เราไม่ค่อยเห็นโจรขโมยหนังสือเท่าไร
            การลักขโมย น่าจะเป็นไปเพื่อจุดประสงค์สองทาง หนึ่ง ขโมยเพื่อไปขาย และขโมยเพื่อใช้เอง
            นั่นอาจเป็นเหตุผลเบื้องต้นของการที่หนังสือไม่หายไปจากชั้นแบบหน้าตาเฉย
            เพราะหากจะขโมยไปขาย หนังสือก็ดูเป็นสินค้าที่ไม่ได้มีราคาสูงนัก หรือหากจะให้สูง ก็ต้องหลายเล่ม ซึ่งหนังสือแต่ละเล่ม ยิ่งราคาสูง ก็ยิ่งเป็นขนาดหนา หนัก การลักขโมยหนังสือไปขายเป็นจำนวนมากไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีของผู้มีจิตรักสะดวก อยากรวยวิธีลัด
            นอกจากนี้หนังสือต่างๆ มากมาย ก็ปรากฏหน้าตาบนชั้นวางของร้านหนังสืออยู่ทั่วไป ไม่จำเป็นที่นักอ่านจะต้องไปตามซื้อหนังสือจากโจร ตลาดหนังสือถูกขโมยจึงไม่น่าจะอยู่ได้
            หรือหากตั้งใจขโมยไปใช้เอง การใช้ประโยชน์ของหนังสือโดยตรง ก็เป็นไปได้ทางเดียวคือเพื่อการอ่าน ผม รวมทั้งน่าจะคนอื่นๆ หลายคน คิดว่าผู้ที่มีใจจะอ่านหนังสือ หรือเป็นนักอ่านหนังสือ ย่อมเป็นผู้ที่มีหัวคิด และมีสามัญสำนึกที่ได้รับปลูกฝังจากตัวอักษรดีๆ ให้ไม่เป็นคนลักขโมย
            มีเรื่องเล่าที่อาจจะตลก หรือเศร้า ได้ในเวลาเดียวกัน... ดังนี้
            ในการชุมนุมทางการเมืองของประเทศหนึ่ง (ขออนุญาตปกปิดชื่อประเทศ) มวลชนนับหมื่นนับแสนรวมตัวประท้วง เกิดความวุ่นวายใจกลางเมืองหลวง อาคารห้างสรรพสินค้าถูกเผาทำลายย่อยยับ ผู้คนปิดร้าน หลบหนีภัยคุกคาม ร้านค้าต่างๆ ถูกขโมยสินค้ามากมาย
            แต่อัศจรรย์! จนต้องใส่อัศเจรีย์ สินค้าชนิดหนึ่งยังคงวางเรียงเต็มชั้น อย่างปลอดภัย... ด้วยเหตุผลที่ได้เสนอไปเบื้องต้นนั่นเอง
            ดังนั้น หนังสือจึงเป็นสินค้าศักดิ์สิทธิที่มักจะปลอดภัยจากมิจฉาชีพ แต่ในขณะหนึ่งก็มีมูลค่าพอสมควร ซึ่งเป็นคุณค่าที่คนเฉพาะกลุ่มเท่านั้นรับรู้ และยอมควักเงินแลกเพื่อให้ได้มา โชคดีที่คนกลุ่มนี้ มักไม่มีนิสัยขี้ขโมย
            แม้ยุคนี้วรรณกรรมโลกไซเบอร์จะกำลังเฟื่องฟู หนังสือดิจิทัลมีมากมายให้เลือกซื้อ ดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ บวกกับค่านิยมผิดๆ ของคนไทยที่มักคิดว่า อะไรก็ตามที่อยู่ในอินเทอร์เน็ตจะต้อง “ฟรี” ได้ ยังปักรากแข็งแรงอยู่ในวัฒนธรรม แต่ผมก็เชื่อว่าเราจะไม่เจอปัญหาการโหลดไฟล์หนังสือเถื่อนมาอ่านฟรีๆ มากเท่าที่เจอกับ เพลง ภาพยนตร์ หรือเกม ด้วยเหตุผลที่ว่า “คนอ่านหนังสือ (ที่ดี) มักไม่ขี้ขโมย”
            หากพูดกันในเชิงตลาด หนังสือน่าจะเป็นสินค้าที่สร้างมูลค่าซื้อขายได้พอสมควร และน่าจะเป็นธุรกิจที่ปลอดภัย ไร้มิจฉาชีพ
            หากเราไม่นับว่าคนที่มายืนอ่านฟรีๆ เป็นการขโมยอ่าน น่ะนะ...
            หนังสือคือสินค้า ตราบที่ยังไม่หายไปจากร้าน แม้ความรู้ เนื้อหาด้านในจะถูกดูดไปสู่สมองของผู้อ่าน ที่อาจมายืนอ่านฟรีๆ โดยไม่จ่ายเงินก็ตาม
            ในฐานะเจ้าของหนังสือ ผมควรดีใจที่หนังสือต่างๆ เหล่านี้ได้ทำประโยชน์ด้วยตัวมันเอง แม้จะไม่ทำประโยชน์ด้านการเงินให้กับธุรกิจก็เถอะ
            เปล่า... ผมไม่ได้แขวะลุงคนเดิม ที่ยังคงยืนอ่านอย่าตั้งหน้าตั้งตา และน่าจะตั้งใจ บางทีปัญหาด้านการอ่านของคนประเทศนี้ อาจไม่ใช่การไม่อยากอ่าน ทว่าเป็นการอยากอ่าน แต่ไม่อยากซื้อ
            นั่งเฝ้าร้านอยู่นาน ก็เกิดการอยากทำธุระส่วนตัว ผมจึงวานให้ลุงที่กำลังอ่านหนังสืออย่างเอาจริงเอาจังราวกับได้ซื้อไปเป็นของตัวเองแล้ว เฝ้าร้านให้ ผมยังคงเชื่อในข้อที่ว่า คนอ่านหนังสือ ไม่ขี้ขโมย เชื่อถึงขนาดที่สามารถวางใจ วางกระเป๋าส่วนตัวทิ้งไว้ที่ร้านได้
            “ลุง ผมไปห้องน้ำเดี๋ยวนะ ดูร้านกับกระเป๋าให้ด้วย”
            ลุงทำหน้าเหรอหราราวกับถูกปลุกจากภวังค์แห่งตัวอักษร แล้วพยักหน้าหงึกๆ
            เดินกลับมา ลุงหายไปแล้ว แต่ตามคาด หนังสือไม่หาย และกระเป๋าก็ยังอยู่
            ผมเปิดกระเป๋าดู
            เงินหายเกลี้ยง!



คาเมะคุง
20 ต.ค.55 วันที่มหกรรมหนังสือเพิ่งเริ่มได้ไม่กี่วัน