-->
ผู้อ่านคือลมหายใจของนักเขียน

วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

คืนที่จันทร์เต็มดวง


            จันทร์เพ็ญตระหง่านอยู่กลางม่านมืดเบื้องบน เมฆบางเลื่อนลอยอ้อยอิ่งผ่านหน้ามันไปครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่อาจกลบรัศมีทองที่ประกายจ้าออกมา แสงเหลืองนวลกลบผิวขรุขระนั้นให้เรียบเนียนดังรองพื้นชั้นดีบนใบหน้าหญิงสาว
            เครื่องประกอบพิธีวางเต็มโต๊ะ ผมขีดไม้ขีดจุดธูป สะบัดให้เปลวไฟดับ ปลายธูปติดเป็นสีส้ม ควันโขมงออกมาเบาๆ สายลมพัดโชยหอบไอเย็นหลังหน้าฝนมาปะทะให้รู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย
            มองไปรอบข้างจึงพบว่ามีหน้าบ้านของผมเพียงหลังเดียวที่ยังจัดโต๊ะทำพิธีไหว้พระจันทร์อยู่ แม้ในอดีต เมื่อรำลึกถึงภาพเยาว์วัย ถึงวันกำหนด ทุกบ้านต่างจัดเตรียมของสำหรับพิธี บ้างประดับโคมไฟสวยงาม ผูกชานอ้อยเป็นซุ้ม กลิ่นขนมไหว้พระจันทร์และขนมอื่นๆ คละเคล้ากับกลิ่นธูปบูชา ภายใต้แสงสว่างของโคมไฟและดวงจันทร์ ผมในตอนนั้นหลงใหลอะไรบางอย่าง
            แม่เคยเล่าให้ฟังว่ายามจันทร์เต็มดวง มันสุกสว่างขาวนวลราวใบหน้าหญิงสาว ผู้คนจึงศรัทธากราบไหว้ บ้างเพื่อสิริมงคล บ้างเพื่อหวังความงามอย่างพระจันทร์ แต่เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญ ดวงจันทร์ถูกเหยียบและพิสูจน์โดยมนุษย์ว่ามันไม่ได้เรียบเนียน ทว่าขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อและแห้งกร้าน ไม่เหลือความงามให้ศรัทธาอีก คนจึงนิยมไหว้พระจันทร์น้อยลง
            รวมถึงเหตุผลด้านพลวัตรของยุคสมัย หนุ่มสาววัยใหม่ที่หันหน้ารับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ ทุนนิยม ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะให้พวกเขาเสียเวลากับพิธีเช่นนี้
            ผมเคยถามแม่ “แล้วทำไมเรายังต้องไหว้?”
            “เราไม่ได้ทำด้วยเหตุผลที่ถูกหักล้างทางวิทยาศาสตร์ ประเพณีต่างๆ มักถูกมองว่าไร้สาระขึ้นในแต่ละวันที่มนุษย์เดินไปสู่ความเจริญ บางครั้งเหตุผลก็ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปธรรมเสมอไป”
            แม่คงรู้ว่าผมไม่เข้าใจสิ่งที่พูดจากการพิจารณาทางสายตา จึงรวบรัดสั้นๆ
            “บางทีคำว่าศรัทธากับงมงายก็คือคำเดียวกัน เพียงแต่สิ่งเหล่านั้นมันให้ความรื่นรมย์ใจในแบบที่วิทยาศาสตร์ให้ไม่ได้”
            ด้วยหัวใจและมันสมองของเด็กรุ่นใหม่ ผมอาจเข้าถึงสิ่งนั้นไม่ได้มาก แต่คิดว่าเข้าใจ และยินดีร่วมเทศกาล 15 ค่ำ เดือน 8 นี้เสมอ ผมไม่รู้แน่นักว่าเป็นเพราะอะไร บางทีผมอาจหลงใหลในเรื่องราวของดวงจันทร์
            มนต์ขลังของดวงจันทร์นั้นสร้างตำนานไว้มากมาย ไม่ว่าจะร่วมสมัยหรือไม่ร่วมสมัย หากว่าตำนานคือสิ่งที่เคยมีตัวตน และสูญหายไปจากโลกนี้แล้ว เมื่อไม่นานมานี้โลกก็เพิ่งได้ตำนานใหม่มาสามเรื่อง
            ไมเคิล แจ็คสัน กับตำนานท่าเดินดวงจันทร์ (Moonwalk) เป็นตำนานร่วมสมัยแห่งดวงจันทร์คนแรกที่ดับสูญไปก่อนคอนเสิร์ตอันยิ่งใหญ่ของเขาจะเริ่มขึ้น
            นีล อาร์มสตรอง กับการสัมผัสดวงจันทร์ด้วยก้าวเท้าเล็กๆ แต่เป็นก้าวอันยิ่งใหญ่ของมวลมนุษย์ชาติ หลังบุคคลตำนานนี้ลาลับจากโลก ผมเห็นข้อความน่าสนใจทางโลกออนไลน์ระบุว่า
            “โลกเราสูญเสียนักเดินดวงจันทร์ไปแล้วถึงสองคน”
            และล่าสุด แอนดี้ วิลเลียมส์ เจ้าของเพลง Moon River ก็ลาจากโลกไปด้วยวัยอันควร ไม่แน่ว่าปลายทางวิญญาณของเขาอาจกำลังเดินทางไปดวงจันทร์
            เหล่านี้คือบุคคลที่ใช้ดวงจันทร์สร้างตำนาน ส่วนตำนานที่สร้างวันไหว้พระจันทร์ขึ้นมา จำได้ลางๆ ว่าแม่เคยเล่านิทานให้ฟัง
            เทพธิดาองค์หนึ่งนามว่าฉางเอ๋อ ลงมาจุติบนโลกพร้อมกับเทพบุตรคู่รัก เพื่อภารกิจบางประการ แต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันที่ทำให้ทั้งสองไม่อาจกลับไปยังสวรรค์ได้ แต่เทพบุตรองค์นั้นก็ยังดั้นด้นค้นหาหนทางกลับไปจนสำเร็จ คือการกินยาอายุวัฒนะที่จะทำให้เทพสามารถกลับไปบนวิมานสวรรค์ เพียงแต่ยาดังกล่าวมีพอสำหรับหนึ่งคนเท่านั้น
            ด้วยความรัก เทพบุตรไม่อาจทอดทิ้งฉางเอ๋อขึ้นสวรรค์ไปเพียงผู้เดียวได้ แต่การณ์กลับเลวร้าย เกิดความผิดพ้องหมองใจบางอย่าง ทำให้ฉางเอ๋อขุ่นเคืองเทพบุตร และแอบขโมยยามากิน ลอยขึ้นแดนสรวงไปสถิตบนดวงจันทร์แต่เพียงผู้เดียว
            เทพบุตรในร่างมนุษย์ทำให้เพียงเฝ้ามองดวงจันทร์ในทุกวันเพ็ญเดือนแปด อธิษฐานต่อดวงจันทร์ให้ได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง
            ฉางเอ๋อนั้นเป็นหญิงงามผุดผ่อง การไหว้พระจันทร์จึงเปรียบเป็นการบูชาเทพีผู้นี้ เพื่อหวังความงดงามจากดวงจันทร์ ส่วนอีกนัยหนึ่ง ก็เป็นการอธิษฐานให้ครอบครัวอยู่ร่วมกัน สมัครสมานสามัคคีดังดวงจันทร์กลมโต ไม่แตกแยกอย่างคู่ของฉางเอ๋อและเทพบุตร
            ดังนั้นการพิสูจน์ว่าพื้นผิวดวงจันทร์เป็นอย่างไร น่าจะทำลายความเชื่อนี้ลงมากพอควร

            ผมเหม่อมองดวงจันทร์พักใหญ่ รอเวลาที่แม่และคนอื่นๆ จะตามมาสมทบพิธีพร้อมกัน อากาศเย็นสบายกับความสงบเงียบของค่ำคืนไม่ทำให้ผมเบื่อได้เลย
            ผมหลับตาลง ลองจินตนาการภาพเทพธิดาฉางเอ๋อว่าเธอจะงดงามเพียงใด และหากเธอมีตัวตนจริง เธอจะรับรู้ถึงพิธีนี้ไหม?
            “ท่าน! ช่วยเราด้วย”
            ผมสะดุ้งตาเบิกโพลงเมื่อได้ยินซุ่มเสียงแบบไม่มีที่มาที่ไป ภาพที่ปรากฏคือหญิงสาวผมยาว ใบหน้านวลผ่อง งดงามแบบร่วมสมัย ชุดที่ใส่เป็นผ้ารุ่มร่ามคล้ายชุดเจ้าหญิงโบราณของจีน หรืออาจจะญี่ปุ่น หรือเกาหลี... ข้อหลังไม่น่าใช่เพราะจำได้ว่าชุดของแดจังกึมไม่เป็นเช่นนี้
            “เอ่อ... ช่วยอะไรครับ”
            “เรามาจากดวงจันทร์ เราเป็นเจ้าหญิง ช่วยเรากลับดวงจันทร์ที”
            ผมคงไม่แปลกใจมาก และคิดว่าหญิงงามผู้นี้เพียงสติไม่ดีและหลุดออกจากโรงพยาบาลโรคประสาทมาหากว่าเมื่อครู่ผมไม่ได้นึกถึงเทพธิดาองค์นั้น ให้ตายสิ เธอคือฉางเอ๋อ?
            “เดี๋ยวนะครับ คุณเป็นใคร... แล้วชุดนั่น...”
            “เราเป็นเจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์ เราถูกลงโทษให้มาอยู่บนโลกมนุษย์เพื่อเผชิญความลำบาก เพราะเราเอาแต่ใจมากเกินไป ท่านพ่อจึงโมโห” เธอเล่าด้วยสีหน้าหวาดหวั่นแบบไม่เสแสร้ง หากผมไม่ได้อินอยู่กับเทศกาลไหว้พระจันทร์และตำนานต่างๆ ผมคงเรียกแม่และแจ้งตำรวจว่ามีสาวสติเฟื่องเดินเพ่นพ่านกลางคืนวันเพ็ญ
            “ตอนนี้เราถูกพวกโจรไล่ตามเอาชีวิต พวกมันใส่ชุดสีขาว มีสัตว์ประหลาดวิ่งเร็วเป็นพาหนะ น่ากลัวมากเลย ท่านต้องช่วยเรานะ”
            ผมคุ้นๆ ว่านั่นคือหน่วยหนึ่งของโรงพยาบาล ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าเธอน่าจะหลุดมาจากที่กักกันสักแห่ง
            “ไม่มีใครเอาชีวิตเธอหรอก เขาจะพาเธอไปรักษา”
            “เราไม่ได้เป็นอะไร เราแค่อยากกลับดวงจันทร์” น้ำตาเม็ดใสไหลออกมาบนใบหน้านวลผ่อง มันประหลาดที่ผมกลับรู้สึกว่าเธอพูดจริง เป็นเพราะอะไร ผมแพ้น้ำตาผู้หญิงหรือ?
            มองซ้ายขวาไม่พบผู้คน เงียบสงบ ผมลากเก้าอี้พลาสติกอีกตัวหนึ่งให้เธอนั่ง แล้วบอกเธอว่าใจเย็นๆ
            “เล่าเรื่องของเธอให้ฟังหน่อย เธอคือฉางเอ๋อหรือ?”
            “เปล่า เรามิได้มีนามนั้น ฉางเอ๋อคือใครกัน” ไม่ผิดแปลกกับคำตอบของเธอ หากเธอตอบว่าใช่นี่สิ ผมอาจจะช็อกจนเป็นลม
            “เราคือคางูยะ เจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์”
            คางูยะ??? ชื่อนี้คุ้นหูผมมาก ทั้งการ์ตูนญี่ปุ่น เกม ภาพยนตร์ เคยปรากฏชื่อตัวละครนี้ และทุกครั้งเกี่ยวเนื่องกับดวงจันทร์ วันไหว้พระจันทร์ของจีน แต่เจ้าหญิงดวงจันทร์ของญี่ปุ่นปรากฏตัวอย่างนั้นหรือ คนแต่งเรื่องอารมณ์ขันเกินไปหรือเปล่า ผมละทิ้งข้อสงสัยไว้ รอให้เธอเล่าต่อ
            “คราก่อนที่เราอยู่บนโลกมนุษย์ เราอาศัยอยู่กับตายายคู่หนึ่ง คุณตาเล่าให้ฟังว่าเขาเจอเราในกระบอกไม้ไผ่ มันส่องแสงเป็นประกายจึงลองผ่าดู มีเราตัวเท่าฝ่ามือนอนขดในนั้น”
            อืมม์... ถ้าเป็นเรื่องที่โม้ขึ้นมาก็จินตนาการสูงส่งมากทีเดียว ผมคิดในใจ
            “คุณตาเก็บเรามาเลี้ยง ไม่กี่วันตัวเราก็โตขึ้นๆ จนเท่าตอนนี้ ระหว่างที่เราอยู่กับคุณตา แกบอกว่าผ่าไม้ไผ่แล้วเจอก้อนทองเล็กๆ อยู่ในนั้นเป็นประจำ ตากับยายจึงร่ำรวยขึ้น เราสามคนอยู่กับอย่างมีความสุข เรารักคุณตาคุณยายมาก และทั้งสองก็รักเรามากเช่นกัน”
            ผมรู้สึกเหมือนได้ฟังนิทานโบราณญี่ปุ่นเชียวล่ะ ผมนั่งฟังอย่างตั้งใจ เธอก็เล่าอย่างตั้งใจเช่นกัน ดวงตาประกายนั้นมันฟ้อง
            “แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็เริ่มมีขุนนางบางคนอยากได้เราไปเป็นสนม เราไม่อยากจากคุณตาคุณยายไป จึงออกอุบายให้ผู้ที่อยากได้เรานำสิ่งของที่เราต้องการมาให้ แต่ก็ไม่มีใครทำได้เลย”
            ผมแทรกขึ้น “งั้นเธอก็น่าจะได้อยู่กับคุณตาคุณยายต่อไป ทำไมถึงบอกว่ามาจากดวงจันทร์?”
            “ถึงกำหนดที่เราต้องกลับดวงจันทร์ เราสัมผัสได้ในวันที่จันทร์เต็มดวง ตอนนั้นย่างเข้าฤดูหนาว สักเดือนแปดได้ เราบอกกับคุณตาคุณยาย พวกเขาไม่อยากเสียเราไปจึงจ้างทหารมากมายมาคุ้มกัน แต่สุดท้ายเทพธิดาจากดวงจันทร์ก็นำตัวเรากลับไปหาท่านพ่อที่แท้จริง โดยที่พวกทหารไม่อาจทำอะไรได้เลย”
            เธอส่งแววตาคิดถึงใครบางคนออกมา ผมจึงเสนออะไรบางอย่าง
            “งั้นตอนนี้เธอได้อยู่บนโลกแล้วนี่ ทำไมไม่ลองกลับไปหาคุณตาคุณยาย”
            “เราเคยมาที่นี่เมื่อประมาณ... ถ้าเป็นเวลาของโลกมนุษย์ก็คง 700 ปีมาแล้ว คุณตาคุณยายคงไปอยู่บนสวรรค์สักที่แล้วล่ะ เราเองก็ต้องกลับดวงจันทร์ โลกตอนนี้แปลกประหลาด มีแต่สิ่งที่เราไม่รู้จัก ไม่เหมือนครั้งที่เราเคยมาเลย ไหนจะโดนไล่ตามอีก...”
            ความเงียบครอบงำชั่วขณะ เธอก้มหน้ามองต่ำในอารมณ์เศร้า ผมพินิจเครื่องแต่งกายของเธอ มันเป็นผ้าแพรสีฟ้าสลับชมพู ใหญ่โต และรุ่มร่าม หากคืนนี้เป็นฤดูร้อน ใบหน้าของเธอของไม่สดใสขนาดนี้
            “แล้วทำยังไงถึงจะกลับดวงจันทร์ได้”
            ใบหน้างดงามโผล่พรวดขึ้นจากที่มองต่ำ แววตาสดใสนั้นแฝงด้วยความดีใจ รอยยิ้มของเธอเป็นประกาย
            “เจ้าจะช่วยเราใช่ไหม”
            “ก็... ถ้าช่วยได้น่ะนะ แต่เราไม่มีจรวด พาเธอไปดวงจันทร์ไม่ได้หรอก”
            “อะไรคือชาหลวด? เราไม่ต้องการของแบบนั้น”
            “แล้วต้องการอะไร”
            “แค่ให้เรากินขนมไหว้พระจันทร์ เราก็จะมีพลังเหมือนเดิม และลอยกลับดวงจันทร์ได้เอง”
            ผมนิ่งไปพักหนึ่ง พลันนึกขึ้นได้
            “กินไม่ได้! ยังไม่ได้ไหว้เลย”
            เธอเงยหน้ามองดวงจันทร์ “ถ้าช้าไปกว่านี้ เวลาของเราจะหมดและกลับไปด้วยตัวเองไม่ได้อีก เราอาจต้องรอท่านพ่อให้อภัยและลงมารับ แต่เวลาหนึ่งวันบนนั้นเท่ากับบนโลก 7 ปี กว่าท่านพ่อจะหายโกรธเราไม่รู้ว่าต้องอยู่บนโลกอีกนานเท่าไร”
            วินาทีนั้นผมต้องชั่งใจระหว่างโดนแม่ดุที่ให้คนเสียสติกินขนมไหว้พระจันทร์ที่ยังไม่ได้ไหว้ กับช่วยเจ้าหญิงให้กลับดวงจันทร์... เจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์ เรื่องพรรค์นั้นใครจะเชื่อลง ถ้ายายติงต๊องคนนี้อยากกินขนมไหว้พระจันทร์จริงๆ คงต้องรอให้เสร็จพิธีก่อน แล้วจะกินกี่ชิ้นก็เอาให้สุขอุรา
            “ไม่ได้จริงๆ หรือ” สาบานได้ว่าดวงตาเศร้าของเธอนั้นทำให้ผู้ชายเกินครึ่งของโลกใจอ่อนได้ “งั้นก็ไม่เป็นไร ยังไงต้องของคุณเจ้ามากที่รับฟังเรา ที่ผ่านมาไม่มีใครยอมฟังสิ่งที่เราพูดเลย เราคงต้องรอด้วยตัวเอง”
            บางทีคำว่าศรัทธากับงมงายก็คือคำเดียวกัน เพียงแต่สิ่งเหล่านั้นมันให้ความรื่นรมย์ใจในแบบที่วิทยาศาสตร์ให้ไม่ได้ คำของแม่ยังสะท้อนในหัว หรือเพียงเพราะผมเป็นผู้ชายครึ่งที่ยอมใจอ่อนเพราะดวงตาของเธอ ผมหยิบขนมไหว้พระจันทร์จากถาดกลมสีแดงบนโต๊ะมอบให้เธอ เธอยิ้ม และงับคำเล็กๆ
            “ต้องขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยคืนพลังให้เรา” เธอดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้ราวกับได้พลังคืนมา แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องตาเหลือกแทบถลนคือเธอได้ถอดชุดรุ่มร่ามนั้นออก
            เปล่า... ไม่ได้ตาถลนเพราะได้ยลร่างเปลือยของเธอ เพียงแต่ภายในชุดรุ่มร่ามนั้น ยังมีชุดนักเรียนญี่ปุ่น กระโปรงบานสั้น คอซองน้ำเงินติดโบว์ใหญ่สีแดงห่อหุ้มร่างน้อย
            “ฉันคือนักสู้สาวน้อยน่ารักในชุดกะลาสีผู้พิทักษ์ความรักและความยุติธรรม เซเลอร์มูน” เพียงประโยคนี้ผมก็อ้าปากค้าง แต่นั่นยังไม่พอ
            “เข้ามาเลยเจ้าพวกโจร ฉันไม่กลัวพวกแกแล้ว ตัวแทนแห่งดวงจันทร์ จะมาลงทัณฑ์แกเอง!
            ชัดแล้วว่าลางสังหรณ์แรกต้นของผมไม่ผิดเพี้ยน ผมตะโกนเรียกแม่ แต่แม่ไม่ได้ยิน
            “ขอบคุณนายมากสำหรับความช่วยเหลือ หน้ากากทักซิโด้”
            เท่านี้ยังไม่พออีกหรือ หน้ากงหน้ากากอะไร ไร้สาระชัดๆ แต่ผมก็ยังเถียงกลับ
            “ไหนบอกว่าชื่อคางูยะไง? เซเลอร์มูนมาจากไหน” จ้องหน้าชัดๆ แม้จะร่างเดิม แต่เหมือนคนละคน ทั้งแววตาและท่าทาง หากเธอสติเต็มเต็งผมคิดว่าจะผันตัวเป็นโมเดลลิ่งพาเธอเข้าวงการเสียเลย
            เธอหันหน้าไปอีกด้านหนึ่ง ชูมือขึ้นแล้วหัวเราะอย่างที่คนบ้าควรจะเป็น ผมทนไม่ไหวหันกลับเข้าบ้านไปเรียกความช่วยเหลือจากแม่
            แต่เมื่อผมออกมาพร้อมแม่และญาติคนอื่น เธอก็ไม่อยู่เสียแล้ว...
            น่าแปลกที่ชุดรุ่มร่ามของเธอซึ่งกองบนพื้นก็ไม่อยู่เช่นกัน
            ยังนึกคำอธิบายให้ทุกคนฟังได้ไม่ชัดเจนนัก ทั้งข้ออ้างเรื่องขนมไหว้พระจันทร์ที่เปื้อนรอยกัดก่อนนำไปไหว้ ผมถอนหายใจ ภายในอกยังเต้นตุบตับราวเพิ่งตื่นจากฝันประหลาด
            ดวงจันทร์ยังคงส่องแสงไม่คลาย กลบความวิบวับของดาวดวงอื่นทั้งมวล ผมรู้สึกเหมือนเห็นรอยยิ้มจากวงกลมขาวนวลดวงนั้น
            ยิ้มของเจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์
            “เจ้าหญิง...” ผมเพ้อคำพูดออกมา
            “เจ้าหญิงอะไร ไหนว่าเจอคนบ้า แม่ว่าแกนั่นแล่ะที่บ้า แล้วนี่ใครกินไป ยังไม่ได้ไหว้เลยนะ!
            โธ่... แม่ ผมอธิบายได้

คาเมะคุง
30 ก.ย. 55 วันไหว้พระจันทร์

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

รักธรรมนูญ


            มีสองคำถาม
            หนึ่ง จะมีเหตุการณ์อะไรบ้าง ที่ทำให้เรา หวนนึกถึงห้วงเวลาในวัยเยาว์
            สอง เมื่อ พบคู่รักสองคนที่รักกันมาก เราจะมีปฏิกิริยาเช่นไร
            ข้อหนึ่งคำตอบอาจเป็นไปได้หลายทาง เจออาจารย์เก่า กลับไปโรงเรียนเก่า เจอเหตุการณ์คึกคะนองที่ทำให้นึกถึงตอนมัธยม เช่นการแอบปีนดูห้องน้ำหญิง (ผมไม่เคยทำนะครับ แต่เคยคิดหรือเปล่าจำไม่ได้)
            ส่วนคำตอบของข้อสองดูจะแคบกว่า อย่างมากก็ยินดีด้วย หรืออิจฉาตาร้อนลุก
            น่าแปลกที่คำตอบข้อหนึ่งของผม คือข้อสอง และคำตอบของข้อสอง คือข้อหนึ่ง
            อย่าเพิ่ง งง ครับ (ต้องเว้นวรรคเดี๋ยวจะยิ่ง งง ไปกันใหญ่) สรุปก็คือสองข้อนั้นมันเป็นคำตอบของกันและกัน ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เอียงคอเข้ามา จะเล่าให้ฟัง
            เย็นย่ำของวันหนึ่ง ในหมู่ชนอันเร่งรีบ เท้าหลายคู่สาวฉับไวเพื่อลงจากสถานีรถไฟฟ้า บ้างเพื่อตามรถเมล์ที่กำลังจะออกจากป้าย นอกจากก้าวย่างของผมที่เนิบนาบกว่าคนอื่นแล้ว สายตาที่ควรจะเพ่งไปยังจุดหมายเบื้องหน้าก็กลับสอดส่ายมองสิ่งรอบข้างอย่างอภิรมย์
            เพียงเห็นด้านหลังของเขาทั้งสอง (ผมหมายถึงเขาที่เป็นสรรพนาม ไม่ใช่คำนาม ไม่น่ามีสัตว์จำพวกนั้นเดินอยู่บนบาทวิถีของเมืองกรุงได้) ภาพในวัยเด็กก็โลดแล่นสู่ประสาทสมอง ไม่ถึงกับเด็กแบเบาะ เป็นกึ่งเด็กกึ่งวัยรุ่น น่าจะประมาณ ม.3 ได้
            มันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้ว่าเขาทั้งสองคบหากัน
            ฝ่ายชายอยู่ห้องเดียวกับผมตอนมัธยมปลาย ส่วนฝ่ายหญิงนั้นรู้จักเพียงชื่อแซ่ (แต่ชื่อจริงไม่รู้จัก... ผมล้อเล่น) หลังจบมัธยมก้าวสู่รั้วมหาวิทยาลัย ฝ่ายชายแยกไป ส่วนฝ่ายหญิงอยู่รั้วเดียวกับผม แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผมรู้จักเธอมากขึ้นนัก เพียงแต่ไม่เคยได้ข่าว หรือพบเห็นเธอเดินกับชายอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนเก่าผมเลย
            เขาและเธอก้าวขึ้นรถเมล์ไปพร้อมกันด้วยท่าทีสนิทสนมเช่นคนรัก ภาพนั้นนอกจากทำให้หวนนึกถึงอดีตแล้ว ยังอาจทำให้ผมคาดหวังไปถึงอนาคตของพวกเขาด้วย
            ในโลกที่บางครั้งก็หมุนด้วยความรัก บางครั้งก็ความไม่รัก มีคนสร้างทฤษฎี กฎเกณฑ์ ระเบียบ วาทกรรม และ ฯลฯ มากมายสำหรับแรงผลักเหล่านั้น ใครจะเชื่อว่าเด็กน้อยสองคนที่ชอบกันตั้งแต่มัธยมต้น จะรักกันยาวจนถึงวันที่พวกเขาเดินเท้าเข้าไปสมัครงานตามบริษัท
            หากว่ากันตามกระแสสังคม พวกเขาคงได้แต่งงานกัน
            ว่ากันอย่างไม่อ้อมค้อม เมื่อครั้งเยาว์วัย แค่รักครั้งแรกเราก็วาดฝันชีวิตคู่กับคนนั้นไว้จางๆ แต่สัจธรรมอย่างหนึ่งที่เปลี่ยนภาพฝันให้กลายเป็นภาพเหมือนจริงก็ทำให้เราตาสว่าง หรือเรียกว่าฝันสลายก็แล้วแต่
            “ความรักในวัยเด็กไม่เคยจีรัง”
            จะว่าถูก มันก็น่าจะถูก จะว่าไม่ถูก มันก็น่าคิด คู่รักคู่นั้น เบื้องลึกเบื้องหลังตั้งแต่พวกเขายังใส่ชุดนักเรียน จนถึงปัจจุบัน เวลาระหว่างนั้นเป็นเช่นไรมีบันทึกไว้เพียงในใจเขาและเธอ ผมรู้แค่ว่าวาทกรรมรักในวัยเยาว์นั้นไม่เป็นความจริงทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์
            อีกหนึ่งทฤษฎีตัวเลข ว่าด้วยเรื่องความต่างระหว่างวัย ไม่ว่าหญิงหรือชายจะแก่กว่า ย่อมมีการสร้างขอบเขตบางอย่างขึ้นมาจำกัดอยู่เสมอ
            สมัยเรียนมัธยมปลาย อาจารย์ท่านหนึ่งเคยให้หลักการฉลาดๆ มา ท่านให้เชื่อว่าผู้ชายหาแฟนเด็กกว่าประมาณ 5 ปีกำลังดี เหตุผลอาจทำร้ายจิตใจกันบ้าง แต่อาจต้องยอมรับว่าผู้หญิงแก่เร็วกว่าผู้ชาย
            พวกเรา ผมและเพื่อนจึงเปลี่ยนกิจกรรมตอนกลางวันจากเล่นบอลเป็นการเดินเล่นแถวๆ ตึกน้อง ม.ต้นแทน แต่ดูเหมือนจะไม่เวิร์กเท่าไร หากคบกันจริงคงต้องสละเวลามาถือยางข้างหนึ่งให้เขาโดดข้าม
            เคสใกล้เคียง ก่อนหน้านี้มีข่าวดาราหนุ่มฮ่องกงอายุ 24 คบกับลูกครึ่งจีน เยอรมัน เป็นสาวน้อยอายุ 12 (น้อยจริงๆ) แน่นอนว่ากระแสสังคมย่อมประณาม ทั้งเรื่องความต่างในตัวเลขและวัยวุฒิ
            หลายคนมองเรื่องตัวเลขเป็นหลัก แต่มองดีๆ ห่างกัน 12 ปี หากฝ่ายหญิงอายุ 24 ฝ่ายชายก็น่าจะ 36 กลายเป็นเรื่องปกติวิสัยที่รับกันได้ทั่วไป
            ดังนั้นความสำคัญไม่ใช่ความห่างของอายุ แต่เป็นวัยวุฒิของฝ่ายที่อายุน้อยกว่า ซึ่งมองกันแบบสามัญชนแล้ว 12 ปีถือว่ายังน้อยนิดติดการ์ตูน แต่ไม่มีใครรู้ได้หรอกว่าเขาทั้งสองคิดอย่างไรต่อกัน การตัดสิน ตำหนิ ประณามไปด้วยความคิดด้านเดียวนั้นน่าจะเป็นการใจแคบเกินไป นอกจากคุณจะยืนยันว่ารู้เรื่องความสัมพันธ์ดีกว่าใครในโลก และสิ่งที่ยืนยันนั้นเป็นเรื่องจริง
            บ้านเมืองเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของคนหลายคน เป็นมวลชน เป็นสังคม จำต้องมีระเบียบเพื่อความสงบสุขในชีวิตของทุกคน หากเราถือว่า “รัฐธรรมนูญ” คือกฎเกณฑ์ของสังคม แล้วสิ่งใดคือกฎเกณฑ์ของความสัมพันธ์
            “รักธรรมนูญ” ?
            ผมไม่ขอตู่เอาว่าคิดคำนี้ขึ้นเอง เพราะอ่านมาจากหนังสือเล่มหนึ่งของคุณ “วรพจน์ พันธ์พงศ์” ในเรื่องกล่าวถึงความสัมพันธ์ของแต่ละคู่ว่า แต่ละบุคคลย่อมมี “รักธรรมนูญ” ที่ต่างฉบับกัน
            เรื่องความสัมพันธ์นั้นเป็นไปได้ในหลายทิศทาง คำว่า “แฟน” เป็นหน่วยที่เล็กมากเมื่อเทียบกับอัตราส่วนความสัมพันธ์ทุกประเภทบนโลกนี้ เพียงแต่ว่า หากคุณไม่ยึดถือและศรัทธาในคำว่าแฟน คนส่วนใหญ่ที่ศรัทธาก็จะตั้งคำถาม และสอบสวนคุณโดยอ้อม ซึ่งความจริงแล้วความสัมพันธ์ของใครจะเป็นแบบไหนก็เป็นเรื่องของคนเพียงสองคน จะรักกันแต่เด็ก จะอายุห่างกันมากโข หรือจะต่างเผ่าพันธุ์ก็ย่อมเป็นไปได้
            ตราบที่ “รักธรรมนูญ” ของคนทั้งสองนั้นถูกตราไว้อย่างคล้ายคลึงกัน
            ซึ่งต่างคนก็อาจมีการแก้ไข หรือร่างขึ้นใหม่ได้เสมอ และเมื่อมันไม่ตรงกันเมื่อไร ความสัมพันธ์จึงควรจบด้วยดี
            ในเบื้องแรกผมคิดว่าคุณวรพจน์นั้นมีคารมทางภาษาเหลือร้ายที่สร้างคำนี้ขึ้นมา แต่บังเอิญที่ผมมีโอกาสอ่านหนังสืออีกเล่มซึ่งรวบรวมวรรคทองจากวรรณคดีหลายเรื่องมาให้อ่าน และเกิดพบคำนี้เข้า
            เปล่า นั่นไม่ได้ทำให้คิดว่าคุณวรพจน์บันดาลใจมาจากวรรณคดีเรื่องนั้น หากแต่นึกไปว่ายังมีผู้ที่คิดไปในแนวทางนี้ตั้งแต่ยุควรรณกรรมโบราณนั่นเชียว
            ชีวิตสั้น ความรักยืนยาว
            ชายผู้หนึ่งที่ผมรู้จักดี เขาชอบผู้หญิงคนหนึ่ง เธออัธยาศัยดี เป็นคนดีและน่ารัก เธอทำให้โลกของเขาสดใส จนกระทั่งวันที่เธอกลับไปหารักเก่า
            แน่นอนว่าเขาเสียใจ แต่ด้วยความสัมพันธ์ต่อกันที่ดี เขาและเธอยังคงคบหาแบบเพื่อน บางครั้งก็สนิท และบางครั้งก็ห่างเหิน
            ผมเคยถามเขาว่าทำไมถึงไม่เลิกยุ่งกับเธอ เขาตอบไม่ได้
            เมื่อรู้ว่าแฟนของเธอกำลังจะบินไปเรียนต่อเมืองนอก เขาไม่ดีใจ และไม่อยากให้เธอต้องเลิกกับแฟน แต่เขาก็ยังคงฝันถึงวันที่มีเธอเดินข้างๆ
            เขาไปกินข้าวเป็นเพื่อนเธอในวันที่เธอโดดเดี่ยว เขาเห็นรอยยิ้มของเธอ เขามีความสุขและรู้สึกเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ แม้เพียงวันเดียวก็ตาม
            ผมถามเขาว่าเขารอเธออยู่หรือ... เขาไม่รู้
            ผมแนะนำให้เขาตัดใจ พร้อมชี้ข้อเสียถึงการให้ความหวังของเธอ เขาไม่ปักใจเชื่อ แต่ขอเก็บไว้พิจารณา
            หลังจากผมเจอคู่รักเพื่อนเก่าระหว่างกลับบ้านวันนั้น ทำให้ผมเชื่อว่ารักธรรมนูญของทั้งสองน่าจะมั่นคงมาก และไม่เคยร่างขึ้นมาใหม่ หรืออาจเคย แต่เป็นการร่างขึ้นพร้อมกัน ด้วยลายมือเดียวกัน
            แต่สำหรับเขาที่รอเธอ หรือไม่ได้รออยู่ก็ตาม รักธรรมนูญของเขาเป็นเช่นไรกันแน่
            แน่นอนว่าผมไม่รู้ เพราะเขาเองก็ยังไม่รู้
            แล้วเธอล่ะรู้ไหม?
            ถ้ารู้ บอกผม... เอ่อ บอกเขาด้วย
           


คาเมะคุง
19 ก.ย. 55 วันที่พบเขาทั้งสอง

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

ไม่ใช่เรื่องของเด็ก (อย่างเดียว)


                “คนจำนวนมากหยิบความสนุกทิ้งไปจากชีวิตเมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องของเด็กๆ เท่านั้น”
            ประโยคนี้พาดผ่านหน้ากระดาษหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งมีหน้าปกเป็นรูปหมี สร้างโดย บก.โหน่ง (วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์) แห่งนิตยสารอะเดย์
ผมสัมผัสได้ถึงทัศนคติแบบสองบุคลิก ด้านหนึ่งเป็นฝั่งเยาวชนนิยม สนับสนุนความสุขง่ายๆ ที่มักได้มาเมื่อเป็นเด็กเท่านั้น อีกด้านหนึ่งคือความคิดอันรอบคอบ แยบยลแบบผู้ใหญ่ที่มีใจไม่อคติต่อโลก
            เนื่องจากเด็กเป็นเยาวชนของชาติ เราจึงเสียสละพูดถึงเด็กก่อน
            ไม่ได้พูดถึงในฐานะคำนาม หรือคำบอกความเหี่ยวย่นบนหนังหน้า หากในฐานะคำแสดงความรู้สึก
            พิจารณาให้ลึกกว่าปกติเล็กน้อย คำว่าเด็กไม่เคยมีเพียงความหมายเดียว เคยไหม ถูกวิจารณ์พฤติกรรมบางอย่างว่า “เด็ก” เหลือเกิน เจ็บปวดเหมือนโดนไม้เรียวฟาด แต่หากถูกปาดป้ายด้วยคำว่า “หน้าเด็ก” เรายิ้มหน้าบานเหมือนเด็กได้ขนม
            แปลว่ามีทั้งด้านดีและไม่ดีในแอดเจคทีฟคำนี้
            แม้ช่วงเวลาชีวิตและประสบการณ์น้อยกว่า แต่ขนาดของกรอบจินตนาการกลับแปรผกผัน เพราะกฎเกณฑ์ต่างๆ ยังไม่ประดังเข้ามาในสัมผัสรับรู้ มีอารมณ์และความรู้สึกตามสัญชาติญาณที่ใฝ่หาความสุข สนุกสนานจากเรื่องง่ายๆ ไม่ต้องมีเหตุผลมาแย้งให้เสียฟีลลิ่ง
            ผมรู้สึกได้ว่าวันศุกร์ของวัยประถมนั้นยิ่งใหญ่กว่าวันศุกร์ของวัยทำงาน เพราะเหตุผลในใจลึกๆ ที่มากีดกันความสุขว่า “ดีใจทำไม หยุดแค่สองวัน”ยังไม่ผุดขึ้นในสมองซีกซ้าย
            ตอนเด็กผมยังไม่ฉลาดจนคิดได้ขนาดนั้น
            อีกด้านหนึ่ง แอดเจคทีฟ “เด็ก” ก็แสดงถึงความไม่มีเหตุผล ไม่อดทน ไม่รอบคอบ ชอบเอาชนะและทำอะไรตามใจตัวเอง ด้วยเหตุผลเดียวกันว่ากรอบความคิดของชีวิตยังกว้างขวางไร้กฎเกณฑ์
            ว่ากันถึงอีกฝั่ง สำหรับผู้ใหญ่ ก็ประกอบทั้งข้อดีและข้อเลวที่ควบคู่ขนานกัน แน่นอนว่าความอดทน รอบคอบ รู้กาลเทศะ ฯลฯ ย่อมรวมอยู่เป็นสมาชิกของคำนี้ ส่วนการชอบเอาชนะนั้นมีอยู่ในทั้งสองตัวตนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ตัวตนหลังนั้นจะสร้างความอดทนขึ้นมาค้ำจุนไว้ได้
ขณะที่ความจริงจัง ซีเรียส คิดในกรอบ เป็นเหตุเป็นผลอยู่ตลอด ก็บีบบังความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงความสุขจากเรื่องง่ายๆ ของ “ผู้ใหญ่” อยู่เสมอ
            คงไม่ใช่ผมคนเดียวที่เคยโดนบ่นเรื่องอ่านการ์ตูน เล่นเกม แต่การใช้ระยะเวลาที่เท่ากันนั้น จ่ายให้กับการวาดรูป เล่นดนตรี อ่านหนังสือ ซึ่งให้ความสุขความผ่อนคลายเหมือนๆ กัน กลับถูกสนับสนุนมากกว่า
            ความเป็นผู้ใหญ่มักมองบางอย่างเป็น “สาระ” และ “ไร้สาระ” ด้วยกรอบประสบการณ์ชีวิตกระแสหลักอยู่เสมอ
ขณะเดียวกันความเป็นเด็กในด้านลบ ก็ทำให้ชีวิตผิดเพี้ยน สูญเสียความสัมพันธ์และกลายเป็นคนเอาแต่ใจ
            เด็กที่มีความเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่ที่มีความเป็นผู้ใหญ่ ย่อมเป็นสัจธรรม แต่ที่น่าสนใจคือ โลกนี้มีเด็กที่มีผู้ใหญ่ในตัว หรือผู้ใหญ่ที่มีเด็กอยู่ในตัวอยู่ด้วย
            บางครั้งไม่ใช่สิ่งที่ควบคุมได้ แต่พิจารณาได้
                อ.ยุ้ย สฤณี คือนักเขียน นักคิด นักวิชาการหญิงคนหนึ่งที่มีความรู้และการคิดวิเคราะห์ระดับมืออาชีพ ใครจะเชื่อว่าเธอเดียวกันนี้ชอบเล่นเกม รวมถึงอ่านการ์ตูนเป็นชีวิตจิตใจ
            “คนที่บอกว่าการอ่านการ์ตูนไร้สาระนั้นน่าเสียดาย เพราะเขาปิดกั้นวิธีที่จะมีความสุขแบบง่ายๆ ไป” แต่ละคำอาจไม่ถึงกับเทียบอักษรทับกันพอดี แต่มีใจความประมาณนี้ แผ่หลาอยู่กลางเฟสบุ๊กที่เต็มไปด้วยสเตตัสเชิงวิชาการ และการคิดวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจ
เจ้าของเดียวกับบล็อกวิจารณ์เกมต่างๆ ที่เข้าขั้นลึกซึ้ง
            ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าเธอเป็นเพียงผู้ใหญ่หรือเด็ก แต่ก็อดรู้สึกดีไปด้วยไม่ได้
            เนื่องจากผมมีความเป็นเด็กอยู่บ้างเล็กน้อย จึงจะยกตัวอย่างต่อไปจากหนังสือการ์ตูนที่ชอบ
            ในโลกแห่งนั้น ตัวละครหนึ่งเป็นเจ้าหญิงน้อยอายุเพียงสิบขวบ ได้ติดตามพระบิดาซึ่งเป็นกษัตริย์ของเมืองหนึ่งไปประชุมอาณาจักรโลก มีกษัตริย์จากอาณาจักรอื่นมากมายเข้าร่วม
            หนึ่งในนั้น เจ้าของอาณาจักรแดนหิมะ เป็นผู้ไม่เอาไหน ไม่ใส่ใจการบ้านเมือง ครองตำแหน่งเพื่อลาภยศเงินทอง ได้แสดงกริยาไม่เคารพการประชุมศักดิ์สิทธิ์ จึงถูกพระบิดาขององค์หญิงน้อย ซึ่งเป็นกษัตริย์เชิงคุณภาพตวาดใส่ด้วยความโมโห เสียหน้าเสียเกียรติกลางหมู่ผู้นำทั่วโลก
            ด้วยความแค้นเคือง หลังการประชุมเสร็จสิ้น กษัตริย์ผู้ไม่เอาไหนย่างกรายไปใกล้เจ้าหญิงน้อยผู้เป็นธิดาแห่งกษัตริย์คู่กรณี เขาแสร้งไสมือไปยังศีรษะเธออย่างแรงโดยอ้างว่า “มือมันลื่น”
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบอันน่าขนลุก ที่ชนวนระเบิดแห่งสงครามกำลังจะถูกจุดไฟขึ้นเพียงเพราะการกระทำแบบ “เด็กๆ” ของใครบางคน
            พลันนั้น เจ้าหญิงน้อยลุกขึ้นรวดเร็ว ยิ้มใสซื่อก่อนเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรค่ะ หนูเดินไม่ดีเอง”
            ลับสายตาสาธารณะ เธอร้องไห้โฮกับแม่ทัพคนสนิทของพระบิดาที่ดูแลเธอมาด้วยความเจ็บปวด ทั้งใจและกาย
            เพียงสิบขวบ เธอรู้ถึงสถานการณ์ที่อาจนำไปสู่สงครามและการสูญเสียได้จากเรื่องเล็กน้อย
            ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าเธอเป็นเพียงเด็กหรือผู้ใหญ่
แต่ก็อดชื่นชมไม่ได้
            ความเป็นเด็กและความเป็นผู้ใหญ่ มีเสน่ห์ในตัวตนของมันเสมอ
                ครั้งหนึ่งในวัยเยาว์ ด้วยความไร้เดียงสา เฮฮา ไร้ตรรกะ ผมและเพื่อนคุยโม้โอ้อวดตามประสา ต่างฝ่ายต่างโวถึงประสบการณ์เท่ๆ เกม การ์ตูน เรื่องติงต๊องที่ยิ่งใหญ่สำหรับตอนนั้น จริงบ้าง จินตนาการขึ้นมาบ้าง แต่ก็ลั่นออกไปดังทุกคำพูดกลั่นจากประสบการณ์จริง
            จนเด็กคนหนึ่งในวงเกิดเคลือบแคลงในความจริง หรืออาจอิจฉา โพล่งออกมาจริงจัง
“แน่จริงก็สาบานดิ”
            ในโลกวัยเยาว์ เหตุผลไม่ใช่ปัจจัยสำหรับการดำรงชีวิตนัก ไม่ต้องรู้ว่าทำไมฟ้าถึงจะผ่าคนที่พูดโกหก แต่ด้วยความไม่เดียงสา พวกเราปักใจเชื่อและเกรงกลัว จนต้นตอแห่งถ้อยคำขี้โม้ต้องสารภาพอย่างอายๆ ว่าสิ่งที่อวดไม่ใช่เรื่องจริง
            ในโลกยุคหลังจากนั้น เหตุผลเป็นดังออกซิเจนหล่อเลี้ยงความเป็นสัตว์สังคม แต่บางครั้งผู้ใหญ่หลายคนกลั้นใจไม่รับ แล้วสร้างผลงานเหนือตรรกะขึ้นมา ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยเหตุผล แต่เข้าถึงได้ด้วยจินตนาการ
ไร้เหตุผลแต่ไม่ไร้เสน่ห์
            กระทั่งผู้ใหญ่ที่เป็นถึง “ผู้หลักผู้ใหญ่” บางครั้งก็ทิ้งเหตุผลไว้เบื้องหลัง
            ถูกเคลือบแคลงสงสัยในความผิด และถ้อยคำว่าจริงหรือเท็จ ทิ้งเหตุผลและการพิสูจน์เชิงประจักษ์ไว้หลังม่าน ลั่นวาจาต่อฟ้า
            “ผมสาบาน”
            ไม่ต้องรู้ว่าทำไมฟ้าถึงจะผ่าคนที่พูดโกหก แต่ปักใจเชื่อว่าทุกคนเชื่อ
            ไร้เหตุผลแต่ไม่ไร้เสนียด









คาเมะคุง
15 ก.ย. 55 วันที่ความเป็นเด็กเอาชนะผู้ใหญ่