จันทร์เพ็ญตระหง่านอยู่กลางม่านมืดเบื้องบน
เมฆบางเลื่อนลอยอ้อยอิ่งผ่านหน้ามันไปครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่ไม่อาจกลบรัศมีทองที่ประกายจ้าออกมา
แสงเหลืองนวลกลบผิวขรุขระนั้นให้เรียบเนียนดังรองพื้นชั้นดีบนใบหน้าหญิงสาว
เครื่องประกอบพิธีวางเต็มโต๊ะ
ผมขีดไม้ขีดจุดธูป สะบัดให้เปลวไฟดับ ปลายธูปติดเป็นสีส้ม ควันโขมงออกมาเบาๆ สายลมพัดโชยหอบไอเย็นหลังหน้าฝนมาปะทะให้รู้สึกสดชื่น
ผ่อนคลาย
มองไปรอบข้างจึงพบว่ามีหน้าบ้านของผมเพียงหลังเดียวที่ยังจัดโต๊ะทำพิธีไหว้พระจันทร์อยู่
แม้ในอดีต เมื่อรำลึกถึงภาพเยาว์วัย ถึงวันกำหนด
ทุกบ้านต่างจัดเตรียมของสำหรับพิธี บ้างประดับโคมไฟสวยงาม ผูกชานอ้อยเป็นซุ้ม
กลิ่นขนมไหว้พระจันทร์และขนมอื่นๆ คละเคล้ากับกลิ่นธูปบูชา
ภายใต้แสงสว่างของโคมไฟและดวงจันทร์ ผมในตอนนั้นหลงใหลอะไรบางอย่าง
แม่เคยเล่าให้ฟังว่ายามจันทร์เต็มดวง
มันสุกสว่างขาวนวลราวใบหน้าหญิงสาว ผู้คนจึงศรัทธากราบไหว้ บ้างเพื่อสิริมงคล
บ้างเพื่อหวังความงามอย่างพระจันทร์ แต่เมื่อวิทยาศาสตร์เจริญ
ดวงจันทร์ถูกเหยียบและพิสูจน์โดยมนุษย์ว่ามันไม่ได้เรียบเนียน ทว่าขรุขระ
เป็นหลุมเป็นบ่อและแห้งกร้าน ไม่เหลือความงามให้ศรัทธาอีก คนจึงนิยมไหว้พระจันทร์น้อยลง
รวมถึงเหตุผลด้านพลวัตรของยุคสมัย
หนุ่มสาววัยใหม่ที่หันหน้ารับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ ทุนนิยม
ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะให้พวกเขาเสียเวลากับพิธีเช่นนี้
ผมเคยถามแม่
“แล้วทำไมเรายังต้องไหว้?”
“เราไม่ได้ทำด้วยเหตุผลที่ถูกหักล้างทางวิทยาศาสตร์
ประเพณีต่างๆ มักถูกมองว่าไร้สาระขึ้นในแต่ละวันที่มนุษย์เดินไปสู่ความเจริญ
บางครั้งเหตุผลก็ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปธรรมเสมอไป”
แม่คงรู้ว่าผมไม่เข้าใจสิ่งที่พูดจากการพิจารณาทางสายตา
จึงรวบรัดสั้นๆ
“บางทีคำว่าศรัทธากับงมงายก็คือคำเดียวกัน
เพียงแต่สิ่งเหล่านั้นมันให้ความรื่นรมย์ใจในแบบที่วิทยาศาสตร์ให้ไม่ได้”
ด้วยหัวใจและมันสมองของเด็กรุ่นใหม่
ผมอาจเข้าถึงสิ่งนั้นไม่ได้มาก แต่คิดว่าเข้าใจ และยินดีร่วมเทศกาล 15 ค่ำ เดือน 8 นี้เสมอ ผมไม่รู้แน่นักว่าเป็นเพราะอะไร
บางทีผมอาจหลงใหลในเรื่องราวของดวงจันทร์
มนต์ขลังของดวงจันทร์นั้นสร้างตำนานไว้มากมาย
ไม่ว่าจะร่วมสมัยหรือไม่ร่วมสมัย หากว่าตำนานคือสิ่งที่เคยมีตัวตน
และสูญหายไปจากโลกนี้แล้ว เมื่อไม่นานมานี้โลกก็เพิ่งได้ตำนานใหม่มาสามเรื่อง
ไมเคิล แจ็คสัน กับตำนานท่าเดินดวงจันทร์
(Moonwalk) เป็นตำนานร่วมสมัยแห่งดวงจันทร์คนแรกที่ดับสูญไปก่อนคอนเสิร์ตอันยิ่งใหญ่ของเขาจะเริ่มขึ้น
นีล
อาร์มสตรอง กับการสัมผัสดวงจันทร์ด้วยก้าวเท้าเล็กๆ
แต่เป็นก้าวอันยิ่งใหญ่ของมวลมนุษย์ชาติ หลังบุคคลตำนานนี้ลาลับจากโลก ผมเห็นข้อความน่าสนใจทางโลกออนไลน์ระบุว่า
“โลกเราสูญเสียนักเดินดวงจันทร์ไปแล้วถึงสองคน”
และล่าสุด แอนดี้
วิลเลียมส์ เจ้าของเพลง Moon River ก็ลาจากโลกไปด้วยวัยอันควร
ไม่แน่ว่าปลายทางวิญญาณของเขาอาจกำลังเดินทางไปดวงจันทร์
เหล่านี้คือบุคคลที่ใช้ดวงจันทร์สร้างตำนาน
ส่วนตำนานที่สร้างวันไหว้พระจันทร์ขึ้นมา จำได้ลางๆ ว่าแม่เคยเล่านิทานให้ฟัง
เทพธิดาองค์หนึ่งนามว่าฉางเอ๋อ
ลงมาจุติบนโลกพร้อมกับเทพบุตรคู่รัก เพื่อภารกิจบางประการ
แต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันที่ทำให้ทั้งสองไม่อาจกลับไปยังสวรรค์ได้
แต่เทพบุตรองค์นั้นก็ยังดั้นด้นค้นหาหนทางกลับไปจนสำเร็จ
คือการกินยาอายุวัฒนะที่จะทำให้เทพสามารถกลับไปบนวิมานสวรรค์ เพียงแต่ยาดังกล่าวมีพอสำหรับหนึ่งคนเท่านั้น
ด้วยความรัก เทพบุตรไม่อาจทอดทิ้งฉางเอ๋อขึ้นสวรรค์ไปเพียงผู้เดียวได้
แต่การณ์กลับเลวร้าย เกิดความผิดพ้องหมองใจบางอย่าง ทำให้ฉางเอ๋อขุ่นเคืองเทพบุตร
และแอบขโมยยามากิน ลอยขึ้นแดนสรวงไปสถิตบนดวงจันทร์แต่เพียงผู้เดียว
เทพบุตรในร่างมนุษย์ทำให้เพียงเฝ้ามองดวงจันทร์ในทุกวันเพ็ญเดือนแปด
อธิษฐานต่อดวงจันทร์ให้ได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง
ฉางเอ๋อนั้นเป็นหญิงงามผุดผ่อง
การไหว้พระจันทร์จึงเปรียบเป็นการบูชาเทพีผู้นี้ เพื่อหวังความงดงามจากดวงจันทร์
ส่วนอีกนัยหนึ่ง ก็เป็นการอธิษฐานให้ครอบครัวอยู่ร่วมกัน
สมัครสมานสามัคคีดังดวงจันทร์กลมโต ไม่แตกแยกอย่างคู่ของฉางเอ๋อและเทพบุตร
ดังนั้นการพิสูจน์ว่าพื้นผิวดวงจันทร์เป็นอย่างไร
น่าจะทำลายความเชื่อนี้ลงมากพอควร
ผมเหม่อมองดวงจันทร์พักใหญ่
รอเวลาที่แม่และคนอื่นๆ จะตามมาสมทบพิธีพร้อมกัน
อากาศเย็นสบายกับความสงบเงียบของค่ำคืนไม่ทำให้ผมเบื่อได้เลย
ผมหลับตาลง
ลองจินตนาการภาพเทพธิดาฉางเอ๋อว่าเธอจะงดงามเพียงใด และหากเธอมีตัวตนจริง
เธอจะรับรู้ถึงพิธีนี้ไหม?
“ท่าน! ช่วยเราด้วย”
ผมสะดุ้งตาเบิกโพลงเมื่อได้ยินซุ่มเสียงแบบไม่มีที่มาที่ไป
ภาพที่ปรากฏคือหญิงสาวผมยาว ใบหน้านวลผ่อง งดงามแบบร่วมสมัย
ชุดที่ใส่เป็นผ้ารุ่มร่ามคล้ายชุดเจ้าหญิงโบราณของจีน หรืออาจจะญี่ปุ่น
หรือเกาหลี... ข้อหลังไม่น่าใช่เพราะจำได้ว่าชุดของแดจังกึมไม่เป็นเช่นนี้
“เอ่อ...
ช่วยอะไรครับ”
“เรามาจากดวงจันทร์
เราเป็นเจ้าหญิง ช่วยเรากลับดวงจันทร์ที”
ผมคงไม่แปลกใจมาก
และคิดว่าหญิงงามผู้นี้เพียงสติไม่ดีและหลุดออกจากโรงพยาบาลโรคประสาทมา – หากว่าเมื่อครู่ผมไม่ได้นึกถึงเทพธิดาองค์นั้น ให้ตายสิ เธอคือฉางเอ๋อ?
“เดี๋ยวนะครับ
คุณเป็นใคร... แล้วชุดนั่น...”
“เราเป็นเจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์
เราถูกลงโทษให้มาอยู่บนโลกมนุษย์เพื่อเผชิญความลำบาก เพราะเราเอาแต่ใจมากเกินไป
ท่านพ่อจึงโมโห” เธอเล่าด้วยสีหน้าหวาดหวั่นแบบไม่เสแสร้ง
หากผมไม่ได้อินอยู่กับเทศกาลไหว้พระจันทร์และตำนานต่างๆ
ผมคงเรียกแม่และแจ้งตำรวจว่ามีสาวสติเฟื่องเดินเพ่นพ่านกลางคืนวันเพ็ญ
“ตอนนี้เราถูกพวกโจรไล่ตามเอาชีวิต
พวกมันใส่ชุดสีขาว มีสัตว์ประหลาดวิ่งเร็วเป็นพาหนะ น่ากลัวมากเลย ท่านต้องช่วยเรานะ”
ผมคุ้นๆ
ว่านั่นคือหน่วยหนึ่งของโรงพยาบาล
ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าเธอน่าจะหลุดมาจากที่กักกันสักแห่ง
“ไม่มีใครเอาชีวิตเธอหรอก
เขาจะพาเธอไปรักษา”
“เราไม่ได้เป็นอะไร
เราแค่อยากกลับดวงจันทร์” น้ำตาเม็ดใสไหลออกมาบนใบหน้านวลผ่อง มันประหลาดที่ผมกลับรู้สึกว่าเธอพูดจริง
เป็นเพราะอะไร ผมแพ้น้ำตาผู้หญิงหรือ?
มองซ้ายขวาไม่พบผู้คน
เงียบสงบ ผมลากเก้าอี้พลาสติกอีกตัวหนึ่งให้เธอนั่ง แล้วบอกเธอว่าใจเย็นๆ
“เล่าเรื่องของเธอให้ฟังหน่อย
เธอคือฉางเอ๋อหรือ?”
“เปล่า
เรามิได้มีนามนั้น ฉางเอ๋อคือใครกัน” ไม่ผิดแปลกกับคำตอบของเธอ
หากเธอตอบว่าใช่นี่สิ ผมอาจจะช็อกจนเป็นลม
“เราคือคางูยะ
เจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์”
คางูยะ???
ชื่อนี้คุ้นหูผมมาก ทั้งการ์ตูนญี่ปุ่น เกม ภาพยนตร์ เคยปรากฏชื่อตัวละครนี้
และทุกครั้งเกี่ยวเนื่องกับดวงจันทร์ วันไหว้พระจันทร์ของจีน แต่เจ้าหญิงดวงจันทร์ของญี่ปุ่นปรากฏตัวอย่างนั้นหรือ
คนแต่งเรื่องอารมณ์ขันเกินไปหรือเปล่า ผมละทิ้งข้อสงสัยไว้ รอให้เธอเล่าต่อ
“คราก่อนที่เราอยู่บนโลกมนุษย์
เราอาศัยอยู่กับตายายคู่หนึ่ง คุณตาเล่าให้ฟังว่าเขาเจอเราในกระบอกไม้ไผ่
มันส่องแสงเป็นประกายจึงลองผ่าดู มีเราตัวเท่าฝ่ามือนอนขดในนั้น”
อืมม์...
ถ้าเป็นเรื่องที่โม้ขึ้นมาก็จินตนาการสูงส่งมากทีเดียว ผมคิดในใจ
“คุณตาเก็บเรามาเลี้ยง
ไม่กี่วันตัวเราก็โตขึ้นๆ จนเท่าตอนนี้ ระหว่างที่เราอยู่กับคุณตา
แกบอกว่าผ่าไม้ไผ่แล้วเจอก้อนทองเล็กๆ อยู่ในนั้นเป็นประจำ ตากับยายจึงร่ำรวยขึ้น
เราสามคนอยู่กับอย่างมีความสุข เรารักคุณตาคุณยายมาก
และทั้งสองก็รักเรามากเช่นกัน”
ผมรู้สึกเหมือนได้ฟังนิทานโบราณญี่ปุ่นเชียวล่ะ
ผมนั่งฟังอย่างตั้งใจ เธอก็เล่าอย่างตั้งใจเช่นกัน ดวงตาประกายนั้นมันฟ้อง
“แต่เมื่อเวลาผ่านไป
ก็เริ่มมีขุนนางบางคนอยากได้เราไปเป็นสนม เราไม่อยากจากคุณตาคุณยายไป
จึงออกอุบายให้ผู้ที่อยากได้เรานำสิ่งของที่เราต้องการมาให้
แต่ก็ไม่มีใครทำได้เลย”
ผมแทรกขึ้น
“งั้นเธอก็น่าจะได้อยู่กับคุณตาคุณยายต่อไป ทำไมถึงบอกว่ามาจากดวงจันทร์?”
“ถึงกำหนดที่เราต้องกลับดวงจันทร์
เราสัมผัสได้ในวันที่จันทร์เต็มดวง ตอนนั้นย่างเข้าฤดูหนาว สักเดือนแปดได้
เราบอกกับคุณตาคุณยาย พวกเขาไม่อยากเสียเราไปจึงจ้างทหารมากมายมาคุ้มกัน
แต่สุดท้ายเทพธิดาจากดวงจันทร์ก็นำตัวเรากลับไปหาท่านพ่อที่แท้จริง
โดยที่พวกทหารไม่อาจทำอะไรได้เลย”
เธอส่งแววตาคิดถึงใครบางคนออกมา
ผมจึงเสนออะไรบางอย่าง
“งั้นตอนนี้เธอได้อยู่บนโลกแล้วนี่
ทำไมไม่ลองกลับไปหาคุณตาคุณยาย”
“เราเคยมาที่นี่เมื่อประมาณ...
ถ้าเป็นเวลาของโลกมนุษย์ก็คง 700 ปีมาแล้ว
คุณตาคุณยายคงไปอยู่บนสวรรค์สักที่แล้วล่ะ เราเองก็ต้องกลับดวงจันทร์ โลกตอนนี้แปลกประหลาด
มีแต่สิ่งที่เราไม่รู้จัก ไม่เหมือนครั้งที่เราเคยมาเลย ไหนจะโดนไล่ตามอีก...”
ความเงียบครอบงำชั่วขณะ
เธอก้มหน้ามองต่ำในอารมณ์เศร้า ผมพินิจเครื่องแต่งกายของเธอ
มันเป็นผ้าแพรสีฟ้าสลับชมพู ใหญ่โต และรุ่มร่าม หากคืนนี้เป็นฤดูร้อน
ใบหน้าของเธอของไม่สดใสขนาดนี้
“แล้วทำยังไงถึงจะกลับดวงจันทร์ได้”
ใบหน้างดงามโผล่พรวดขึ้นจากที่มองต่ำ
แววตาสดใสนั้นแฝงด้วยความดีใจ รอยยิ้มของเธอเป็นประกาย
“เจ้าจะช่วยเราใช่ไหม”
“ก็...
ถ้าช่วยได้น่ะนะ แต่เราไม่มีจรวด พาเธอไปดวงจันทร์ไม่ได้หรอก”
“อะไรคือชาหลวด?
เราไม่ต้องการของแบบนั้น”
“แล้วต้องการอะไร”
“แค่ให้เรากินขนมไหว้พระจันทร์
เราก็จะมีพลังเหมือนเดิม และลอยกลับดวงจันทร์ได้เอง”
ผมนิ่งไปพักหนึ่ง
พลันนึกขึ้นได้
“กินไม่ได้! ยังไม่ได้ไหว้เลย”
เธอเงยหน้ามองดวงจันทร์
“ถ้าช้าไปกว่านี้ เวลาของเราจะหมดและกลับไปด้วยตัวเองไม่ได้อีก
เราอาจต้องรอท่านพ่อให้อภัยและลงมารับ แต่เวลาหนึ่งวันบนนั้นเท่ากับบนโลก 7 ปี กว่าท่านพ่อจะหายโกรธเราไม่รู้ว่าต้องอยู่บนโลกอีกนานเท่าไร”
วินาทีนั้นผมต้องชั่งใจระหว่างโดนแม่ดุที่ให้คนเสียสติกินขนมไหว้พระจันทร์ที่ยังไม่ได้ไหว้
กับช่วยเจ้าหญิงให้กลับดวงจันทร์... เจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์
เรื่องพรรค์นั้นใครจะเชื่อลง ถ้ายายติงต๊องคนนี้อยากกินขนมไหว้พระจันทร์จริงๆ
คงต้องรอให้เสร็จพิธีก่อน แล้วจะกินกี่ชิ้นก็เอาให้สุขอุรา
“ไม่ได้จริงๆ หรือ”
สาบานได้ว่าดวงตาเศร้าของเธอนั้นทำให้ผู้ชายเกินครึ่งของโลกใจอ่อนได้
“งั้นก็ไม่เป็นไร ยังไงต้องของคุณเจ้ามากที่รับฟังเรา ที่ผ่านมาไม่มีใครยอมฟังสิ่งที่เราพูดเลย
เราคงต้องรอด้วยตัวเอง”
บางทีคำว่าศรัทธากับงมงายก็คือคำเดียวกัน
เพียงแต่สิ่งเหล่านั้นมันให้ความรื่นรมย์ใจในแบบที่วิทยาศาสตร์ให้ไม่ได้
คำของแม่ยังสะท้อนในหัว
หรือเพียงเพราะผมเป็นผู้ชายครึ่งที่ยอมใจอ่อนเพราะดวงตาของเธอ
ผมหยิบขนมไหว้พระจันทร์จากถาดกลมสีแดงบนโต๊ะมอบให้เธอ เธอยิ้ม และงับคำเล็กๆ
“ต้องขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยคืนพลังให้เรา”
เธอดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้ราวกับได้พลังคืนมา
แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องตาเหลือกแทบถลนคือเธอได้ถอดชุดรุ่มร่ามนั้นออก
เปล่า...
ไม่ได้ตาถลนเพราะได้ยลร่างเปลือยของเธอ เพียงแต่ภายในชุดรุ่มร่ามนั้น
ยังมีชุดนักเรียนญี่ปุ่น กระโปรงบานสั้น คอซองน้ำเงินติดโบว์ใหญ่สีแดงห่อหุ้มร่างน้อย
“ฉันคือนักสู้สาวน้อยน่ารักในชุดกะลาสีผู้พิทักษ์ความรักและความยุติธรรม
เซเลอร์มูน” เพียงประโยคนี้ผมก็อ้าปากค้าง แต่นั่นยังไม่พอ
“เข้ามาเลยเจ้าพวกโจร
ฉันไม่กลัวพวกแกแล้ว ตัวแทนแห่งดวงจันทร์ จะมาลงทัณฑ์แกเอง!”
ชัดแล้วว่าลางสังหรณ์แรกต้นของผมไม่ผิดเพี้ยน
ผมตะโกนเรียกแม่ แต่แม่ไม่ได้ยิน
“ขอบคุณนายมากสำหรับความช่วยเหลือ
หน้ากากทักซิโด้”
เท่านี้ยังไม่พออีกหรือ
หน้ากงหน้ากากอะไร ไร้สาระชัดๆ แต่ผมก็ยังเถียงกลับ
“ไหนบอกว่าชื่อคางูยะไง?
เซเลอร์มูนมาจากไหน” จ้องหน้าชัดๆ แม้จะร่างเดิม แต่เหมือนคนละคน ทั้งแววตาและท่าทาง
หากเธอสติเต็มเต็งผมคิดว่าจะผันตัวเป็นโมเดลลิ่งพาเธอเข้าวงการเสียเลย
เธอหันหน้าไปอีกด้านหนึ่ง
ชูมือขึ้นแล้วหัวเราะอย่างที่คนบ้าควรจะเป็น
ผมทนไม่ไหวหันกลับเข้าบ้านไปเรียกความช่วยเหลือจากแม่
แต่เมื่อผมออกมาพร้อมแม่และญาติคนอื่น
เธอก็ไม่อยู่เสียแล้ว...
น่าแปลกที่ชุดรุ่มร่ามของเธอซึ่งกองบนพื้นก็ไม่อยู่เช่นกัน
ยังนึกคำอธิบายให้ทุกคนฟังได้ไม่ชัดเจนนัก
ทั้งข้ออ้างเรื่องขนมไหว้พระจันทร์ที่เปื้อนรอยกัดก่อนนำไปไหว้ ผมถอนหายใจ
ภายในอกยังเต้นตุบตับราวเพิ่งตื่นจากฝันประหลาด
ดวงจันทร์ยังคงส่องแสงไม่คลาย
กลบความวิบวับของดาวดวงอื่นทั้งมวล ผมรู้สึกเหมือนเห็นรอยยิ้มจากวงกลมขาวนวลดวงนั้น
ยิ้มของเจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์
“เจ้าหญิง...”
ผมเพ้อคำพูดออกมา
“เจ้าหญิงอะไร
ไหนว่าเจอคนบ้า แม่ว่าแกนั่นแล่ะที่บ้า แล้วนี่ใครกินไป ยังไม่ได้ไหว้เลยนะ!”
โธ่... แม่ ผมอธิบายได้
คาเมะคุง
30 ก.ย. 55 วันไหว้พระจันทร์